posttoday

กทม.ต้องพูดความจริง

05 กุมภาพันธ์ 2562

กทม.มีข้อมูลอยู่ในมือ น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดฝุ่นพิษอันตรายอยู่ตรงไหน จำเป็นต้องแจ้งประชาชนเพื่อให้ป้องกันตนเองและดูแลลูกหลาน

กทม.มีข้อมูลอยู่ในมือ น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดฝุ่นพิษอันตรายอยู่ตรงไหน จำเป็นต้องแจ้งประชาชนเพื่อให้ป้องกันตนเองและดูแลลูกหลาน

********************

โดย...ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานสถาบันนวัตกรรมชุมชนอัจฉริยะ และอธิการบดี สจล.

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมจำเป็นต้องพาน้องอิชิ ลูกชายวัย 6 เดือนออกนอกบ้าน ไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล แต่ต้องกลับบ้านด้วยอาการภูมิแพ้อากาศอย่างรุนแรง มีผื่นแดงเต็มหน้า จึงต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกรอบ คุณหมอแนะนำให้มีเครื่องฟอกอากาศในห้องนอน พอไปหาซื้อที่ห้างสรรพสินค้าไหนๆ ของก็หมด โทรติดต่อบริษัทก็ยังหาไม่ได้ แถมราคาก็ขึ้นเป็น 2–4 เท่า เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทุกวันนี้คนกรุงเทพฯ พูดเรื่องเดียวกันทุกคนคือ “เป็นห่วงลูก” และหากถามคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างผม ชะตากรรมเราคงไม่ต่างอะไรจากผู้ประสบภัยพิบัติ

เชื่อว่าวันนี้ กทม.มีเครื่องตรวจสภาพอากาศจำนวนไม่น้อยที่ตรวจวัดฝุ่นได้ตลอดเวลา โดยแจ้งว่าคุณภาพอากาศอยู่ในระดับปลอดภัย แต่คำถามที่ต้องตอบประชาชนให้ชัดคือ “วัดอากาศ วัดฝุ่น ที่ตรงไหน” เพราะเกิดความไม่ไว้วางใจ จนมีหลายองค์กรเอกชนพยายามหาซื้อเครื่องมือวัดปริมาณฝุ่นคุณภาพดีไว้ใช้เอง เพื่อความมั่นใจ เพื่อป้องกันดูแลคนของตนเอง

ขณะที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้ร่วมกับสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมรณรงค์ทำโครงการ “ร่วมใจต้านภัยฝุ่นพิษ” ให้แก่คนกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) และคณะแพทยศาสตร์ สจล. พร้อมด้วยนักศึกษาจิตอาสา ได้ออกตรวจปริมาณฝุ่นพิษ และแจกหน้ากากกันฝุ่นตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ

เราพบว่าความหนาแน่นของฝุ่นพิษแปรผันในแต่ละจุด เมื่อตรวจวัดที่สี่แยกถนนพญาไทตัดกับถนนศรีอยุธยา ปริมาณฝุ่น PM2.5 เป็น 30 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แต่เมื่อเดินไปอีกเพียงไม่กี่สิบเมตรที่ป้ายรถเมล์ประจำทางใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพญาไท ปริมาณฝุ่นพิษเพิ่มขึ้นไปถึง 80 ไมโครกรัม/ลบ.ม. สูงมากเกินระดับปลอดภัยที่ 50 ไมโครกรัม/ลบ.ม. แม้ในวันที่โรงเรียนปิดทำการ พิสูจน์ชัดว่าปริมาณฝุ่นพิษแต่ละที่จะไม่เท่ากัน แม้ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร ขึ้นอยู่กับว่าตรวจวัดที่ตรงไหน พอ กทม.แจ้งว่าปลอดภัย แต่ที่จริงมีฝุ่นพิษมากมายในจุดต่างๆ ประชาชนไม่เคยได้รู้

กลายเป็นว่าจุดเสี่ยงหนักสุดที่ กทม.ละเลยคือ บริเวณป้ายรถเมล์ของ กทม.เอง ที่ปริมาณฝุ่นเกินมาตรฐานถึงจุดอันตราย เพราะว่า 1.อยู่ติดถนนที่มีการจราจรหนาแน่น 2.เป็นจุดปล่อยควันดำของรถเมล์ที่เร่งเครื่องปล่อยฝุ่นพิษ 3.ยิ่งอยู่ในจุดอับ เช่น ใต้สถานีรถไฟฟ้า หรือบริเวณชุมชนหนาแน่น อากาศยิ่งไม่ค่อยหมุนเวียน ฝุ่นพิษยิ่งมากขึ้น 4.เป็นจุดที่รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก ติดเครื่องยนต์รอผู้โดยสารปล่อยฝุ่นควัน

ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าเด็กกรุงเทพฯ ในวัยเรียนแต่ละคน ตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล ประถม มัธยม จนจบมหาวิทยาลัย ที่ต้องเดินทางด้วยรถเมล์สาธารณะ หรือต้องเดินบนทางเท้า หรือเดินขึ้นรถไฟฟ้า จะต้องสูดฝุ่นพิษไปเป็นปริมาณมากแค่ไหน เสี่ยงโรคปอด โรคทางสมอง โรคมะเร็ง ถือเป็นการทำลายทรัพยากรมนุษย์ที่ยอมรับไม่ได้

เมื่อเดือน ม.ค-ก.พ.ปีที่แล้ว มีกระแสสังคม และผมก็ชี้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 แต่ กทม.ก็เงียบหายไป จนเกิดวิกฤตฝุ่นทั่วกรุงเทพฯ คำถามคือ กทม.รู้หรือไม่ หากรู้ ทำไมไม่ชี้จุดเสี่ยงฝุ่นพิษ ไม่บอกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว วันนี้อาจไม่เกิดวิกฤตก็ได้ เพราะเมื่อทุกคนรู้ ทุกคนได้ร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหา ข้อมูลฝุ่นพิษที่ กทม.มีในมือ น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดฝุ่นพิษอันตรายอยู่ที่ตรงไหน จำเป็นต้องแจ้งประชาชนเพื่อให้ป้องกันตนเองและดูแลลูกหลานที่อ่อนไหวต่อฝุ่นพิษเหล่านี้

กทม.จึงต้องพูดความจริงเรื่องวิกฤตฝุ่นพิษ เพราะข้อมูลมี กทม.ต้องรู้ ทำให้ผมหวนคิดถึงผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเคยประกาศว่า “รัฐรู้อย่างไร ประชาชนรู้อย่างนั้น” คงต้องนำแนวคิดนี้กลับมาใช้อย่างจริงจังเสียที