posttoday

ธรรมชาติเอาคืน

06 สิงหาคม 2561

ภาพที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ คล้ายกับภาพในภาพยนตร์ภัยพิบัติทำลายล้างโลกของฮอลลีวูดมากขึ้นทุกที

ภาพที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ คล้ายกับภาพในภาพยนตร์ภัยพิบัติทำลายล้างโลกของฮอลลีวูดมากขึ้นทุกที

**************************

โดย...ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานสถาบันนวัตกรรมชุมชนอัจฉริยะ และอธิการบดี สจล.

เมื่อเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย เกิดการวิบัติจนสร้างความเสียหายอย่างหนักใน สปป.ลาว ส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกชุกจนน้ำล้นเขื่อน มาจนถึงฝนตกหนักที่ภาคเหนือของไทยจนดินถล่มคร่าหลายชีวิตที่ จ.น่าน และระดับน้ำในแม่น้ำโขงสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

จากที่เคยเห็นแห้งขอดเมื่อปีก่อนๆ กลายเป็นมาล้นตลิ่งท่วม จ.นครพนม อาจไปถึงเชียงราย หนองคาย และอำนาจเจริญ อีกทั้งเมียนมาและเวียดนามก็ยังเผชิญกับภัยพิบัติจากฝนตกและน้ำท่วมหนักเช่นกัน เพียงเดือนเดียวเท่านั้นเราได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัวในภูมิภาคนี้

ไม่เพียงเท่านั้นภัยธรรมชาติยังถาโถมญี่ปุ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งน้ำท่วมหนักเป็นประวัติศาสตร์ทางตอนใต้ ตามด้วยดินโคลนถล่ม ถูกซ้ำเติมด้วยคลื่นความร้อนที่กรุงโตเกียว ทำให้อุณหภูมิสูงถึง 41 องศาเซลเซียส

แค่เพียง 2 เหตุการณ์ก็มีผู้เสียชีวิตมากถึงกว่า 300 คน เพียงช่วงเวลาสองเดือนเท่านั้นจีนและเกาหลีก็กำลังประสบภัยจากคลื่นความร้อนเช่นกัน มีผู้เสียชีวิตร่วม 30 คนแล้ว และไม่เพียงทวีปเอเชีย แม้แต่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็ยังเสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ ทั้งคลื่นความร้อน ไฟป่า น้ำท่วม เช่นกัน

ภาพที่โลกกำลังเผชิญอยู่นี้ คล้ายกับภาพในภาพยนตร์ภัยพิบัติทำลายล้างโลกของฮอลลีวูดมากขึ้นทุกที เมื่อก่อนเราอาจไม่เชื่อเรื่องโลกจะวิบัติจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงรุนแรง แต่วันนี้จากที่มีหลักฐานความเป็นจริงมากขึ้น

ทั้งจากสถิติเฉพาะปี 2560 ปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศรุนแรงมากกว่า 400 ครั้งทั่วโลก จนมีผู้สูญเสียชีวิตมากเกินที่จะประเมินและมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นทุกปี จึงต้องยอมรับว่า “กลัว” และ “ห่วง” ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน

นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสำนักมีความเชื่อว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติมาจากภาวะโลกร้อนที่เป็นผลจาก “ก๊าซเรือนกระจก” ที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมของมนุษย์ ทั้งจากการตัดไม้ทำลายป่า การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการจราจรติดขัด รถยนต์ควันดำก็มีมากขึ้นทุกวัน หรือจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากโรงงานและการเผาขยะ

วันนี้มีมนุษย์มากกว่า 7,000 ล้านคน หากแต่ละคนไม่ใส่ใจยังคิดว่าเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องไกลตัว ถือว่าคิดผิด เพราะวันนี้ไม่มีใครในโลกปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ หากเรายังใช้ทรัพยากรกันอย่างสิ้นเปลือง ยังบริโภคกันอย่างไร้ขีดจำกัด ยังทิ้งขยะอย่างไม่รับผิดชอบ ยังไม่ใส่ใจกับปัญหามลพิษ หรือยังคิดว่าคนเดียวคงไม่ทำให้โลกเสียหายควรคิดใหม่

ยิ่งมีการศึกษาพบว่าน้ำทะเลจะสูงขึ้นมากจนอาจมีหลายเมืองสำคัญทั่วโลกต้องจมอยู่ใต้น้ำทะเลภายในศตวรรษนี้ รวมทั้ง “กรุงเทพฯ” ที่ในวันนี้น้ำทะเลหนุนเข้ามามากขึ้นทุกปี ลองไปดูที่เขตบางขุนเทียนจะเห็นเสาไฟฟ้าลงไปปักอยู่ในทะเลแล้ว หรืออาจจะเร็วกว่าที่คิดที่น้ำทะเลอาจเข้ามาถึงสาทร สีลม สุขุมวิท ก็เป็นไปได้

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องรับผิดชอบกับโลกใบนี้ใบเดียวของเรา ไม่เช่นนั้นเมื่อธรรมชาติโกรธแค้นเอาคืนบ้าง มนุษย์อย่างเราคงรับไม่ไหว