posttoday

ทศวรรษใหม่ไทยแลนด์...จะไปทางไหน

08 มกราคม 2561

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

โดย...ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

ปี 2561 เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ทศวรรษใหม่ โดยใช้ปฏิทินของไทย ซึ่งใช้ปี พ.ศ. หรือพุทธศักราชเป็นเกณฑ์ อยากให้มองข้ามช็อตเรื่องบิ๊กตู่ยอมรับเป็นนักการเมือง อีกเรื่องที่เป็นข่าวรายวันคือ โรคผวาของนักการเมืองเกี่ยวกับการเลื่อนเลือกตั้ง เรื่องที่ฮิตตอนนี้คือ การปรับค่าจ้างควรเป็นเท่าใด ฝ่ายแรงงานบอกไม่พอขอให้ปรับเยอะๆ แต่นายจ้างบอกว่าธุรกิจอาจเจ๊ง ยังมีเรื่องบาทแข็งแต่ส่งออกโตเกินคาดแถมหุ้นพุ่งขึ้นกระฉูด รวมถึงนาฬิกายี่ห้อดังของใครบางคนยังไม่รู้ว่าได้มาจากไหน

ในช่วงที่ผ่านมากระแสการรับรู้ของคนไทยยังวนอยู่กับเรื่องแบบนี้ อยากจะให้มองทิศทางของประเทศไทยหลุดออกไป 10 ปีข้างหน้า เริ่มจากปีนี้ทุกสํานักเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยไปโลดมีนักวิชาการใกล้ชิดกับรัฐบาลให้ไปถึงโตกว่าร้อยละ 5 ทุกอย่างกําลังไปได้ด้วยดีรัฐบาลยังเสริมทีมรัฐมนตรีใหม่เป็นกองหนุนดูว่าน่าจะไปได้ แถมแนวโน้มกติกาเอื้อว่าหลังเลือกตั้งอดีตนายทหาร ซึ่งกลายเป็นนักการเมืองอาจกลับมา

ผลคือสิบปีจากนี้ไปหากไม่มีอุบัติเหตุการเมืองแบบแรงๆ จนกระทบต่อการดํารงอยู่ของ คสช. ประเทศไทยคงต้องเดินตามโรดแมปยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งวางไว้จนถึงปี 2580 ซึ่ง คุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รับบทบาทเป็นหัวเรือใหญ่นัยว่าจะเริ่มรับฟังความเห็นประชาชนได้ในเดือนหน้า ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีกลยุทธ์หลัก เช่น ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเป็นซูเปอร์คัตเตอร์ โดยมีระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก หรือ EEC เป็นหัวจักรขับเคลื่อน รวมไปถึงการมียุทธศาสตร์ไทยเชื่อมกับโลกและยกระดับเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของเอเชีย หรือ “Asia’s Super Corridor”

ภาคเกษตรกรรมในอนาคตมีแผนงานให้คนไทยหลุดพ้นจากเส้นความยากจน โดยยกระดับครัวเรือนเกษตรกร 25 ล้านคน ให้มีรายได้สูง ประเทศไทยจะกลายเป็นมหาอํานาจทางเศรษฐกิจชาวนา-ชาวสวนจะเป็นเกษตกรอัจฉริยะหันมาปลูกพืชที่ทํารายได้สูง เช่น เกษตรอินทรีย์ พืชเกษตรที่ปรับแต่งยีน (GM) มีการแปรรูปไบโอ การแปรรูปเกษตรเชิงอุตสาหกรรมและพลังงาน ด้านยางพาราจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางยางพาราโลก หากทําได้จริงชาวสวนยางคงไม่ต้องมาเร่ขายยางแบบ “3 กิโลร้อยบาท”

ด้านการท่องเที่ยวปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวปีละ 35.8 ล้านคน ติดอันดับ 10 ของโลกทํารายได้ประมาณปีละ 57,230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.86 ล้านๆ บาท เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกาตรงนี้ไม่เบาจริงๆ โดยแผนยุทธศาสตร์วางตําแหน่งไทยเป็นประเทศแม่เหล็กโลกด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะทําให้มีแรงงานเข้ามาอยู่ในภาคส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นการดึงแรงงานออกจากภาคเกษตร ซึ่งในอนาคตจะมีการใช้เครื่องจักรทุ่นแรงมากขึ้น

ทิศทางประเทศไทยในช่วงทศวรรษนี้กําลังเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล แม้แต่การให้บริการของรัฐจะเป็น “Digital Government” มีการนําร่องโครงการ “พร้อมเพย์” ของกระทรวงการคลังที่จะมาใช้ในการชําระเงินสด ขณะที่สถาบันการเงินของเอกชนต่างทยอยเริ่มลดจํานวนสาขา ปีที่แล้วสาขาย่อยปิดไปกว่า 204 แห่ง เลิกจ้างพนักงานประมาณ 1,350 คน แนวโน้มของธนาคารจะเป็นดิจิทัลแบงก์ ซึ่งล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนกว่า 35 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นร้อยละ 39 ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด

ภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัลแรงงานใน 5 ปีข้างหน้า อาจมีความสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียตําแหน่งงาน แม้แต่ในภาครัฐจะมีการนําโครงการระเบียงด้านดิจิทัลเข้ามาให้บริการประชาชน เช่น เน็ตประชารัฐนําร่องไปแล้วกว่า 2.4 หมื่นหมู่บ้าน เชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์ตั้งแต่ชุมชน โรงเรียน สน.ตํารวจ ฯลฯ รวมไปถึงการช่วยเหลือด้านประชารัฐได้แบบออนไลน์

การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญที่จะกระทบทั้งทางบวกและลบ คือ การเข้ามาของธุรกรรมดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ เป็นการยกระดับคนไทยไปสู่ประชาชนดิจิทัล หรือ “Digital Citizen” โดยมีกลไกทั้งแอพอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บิ๊กดาต้า บล็อกเชนเข้ามาผสมผสานบนโทรศัพท์มือถือและโทรทัศน์อัจฉริยะ พฤติกรรมของผู้บริโภคจะเปลี่ยนจากออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานอยู่กว่า 6.0 แสนราย ในอนาคตครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคจะจับจ่ายใช้สอยทางอี-คอมเมิร์ซในรูปแบบต่างๆ

แม้แต่เมืองในอนาคต 10 ปีข้างหน้า จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งจากโครงการรถไฟฟ้าไฮสปีดที่เชื่อมจังหวัดที่สําคัญและรถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดินสารพัดสี ใน 5 ปีน่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะทําให้เกิดพื้นที่ชุมชน พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมตามเส้นทาง เช่น จ.ชลบุรี ระยอง สระบุรี โคราช เพชรบุรี หัวหิน ฯลฯ แม้แต่ กทม. ซึ่งรถไฟฟ้าเชื่อมไปถึงรอบนอกจะทําให้เกิดเมืองใหม่ตามมา ซึ่งผังเมืองคงต้องออกแบบให้ดีมิฉะนั้นพื้นที่จะทับซ้อนวุ่นวายกันแน่นอน ที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่ดึงมาจากแผนงานและยุทธศาสตร์ชาติวางไว้ไปถึง 20 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทําให้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง แต่สําหรับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนคงไม่ต้องรอนานไปถึงสิ้นทศวรรษนี้

เพราะทางรัฐบาลออกมาการันตีว่าคนจน 5.0 ล้านคน จะพ้นจากความยากจนภายในปี 2561 ถึงตรงนี้คงรู้แล้วว่าอนาคตข้างหน้าของประเทศไทยจะไปทางไหน ขอให้เดินให้ทัน รักษาตัวให้ดี อย่าให้ตายก่อนจะได้เห็น…นะครับ