posttoday

คนมีแสง-คนไม่มีแสง

22 กันยายน 2559

เฟซบุ๊ก Pat Hemasuk

เฟซบุ๊ก Pat Hemasuk

ผมคิดว่าคนประเภทที่ต้องโหนรากเหง้าเพื่อให้คนอื่นมองดูดีนั้น น่ารังเกียจพอๆ กับคนอีกประเภทที่จ้องจะทำลายรากเหง้านั่นแหละครับ แต่คนที่ทำงานต่อยอดรากเหง้าไม่ให้ตายไปกับกาลเวลานั้นน่าสรรเสริญกว่าคนสองประเภทนี้

หลายคนไม่รู้หรอกครับว่ารากเหง้าของโขนนั้นถูกดัดแปลงและพัฒนาตลอดเวลา ท่ารำโขนและบทพากย์นั้นสร้างใหม่สมัยรัชกาลที่ 6 นั้นมีจำนวนไม่ใช่น้อย โดยเป็นผลงานของกรมโขนหลวงที่ต่อมาได้รวมเข้าเป็นกรมมหรสพ แต่หลักใหญ่ๆนั้นเล่นตามสำนวนของรัชกาลที่ 2 ที่ยึดถือจนถึงปัจจุบัน นั่นคือการพัฒนาของโขนบรรดาศักดิ์ที่อยู่ในวัง แต่โขนเชลยศักดิ์ที่เป็นคณะของเอกชนนั่นมีตั้งแต่ โขนโรง โขนกลางแปลง จนถึงโขนนั่งราว นั้นดัดแปลงบทและการแต่งกายเกือบทั้งหมดก็ว่าได้

นั่นก็ไม่มีใครในสมัยนั้นโหนโขน พร่ำรำพันถึงความสูงส่งของจารีตโขน ดูถูกคนอื่นที่คิดเห็นต่างกับตัวเองว่าเอาโขนทำลาย หรือเอาโขนไปรับจ้างเล่นนั่งราวกระบอกไม้ไผ่ตามงานศพ

และในอีกทางหนึ่งซึ่งในสมัยนั้นก็ไม่มีใครด่ารากเหง้าของตัวเอง นอกจากยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามที่ไม่เห็นคุณค่าแถมยังทำลายจนศิลปะไทยในยุคนั้นถึงกับกาลวิบัติไปเกือบหมด และคล้ายมากกับพวกลิเบอร่านในสมัยนี้นี้ ที่เรียกประเทศไทยว่ากะลาแลนด์ อะไรเป็นรากเหง้าของไทยพวกมันด่าหมดทุกอย่าง

ดังนั้นคนสองประเภทนี้แหละครับคือพวกน่ารังเกียจในสังคม เป็นพวกที่ไม่มีแสงในตัวเอง ต้องโหนของสูงหรือด่าของสูงเพื่อให้ตัวเองมองดูคล้ายกับเป็นคนมีราคา หรือเพียงแต่พูดเพื่อให้คนอื่นมองเห็นตัวเองที่ไร้ค่าในสังคมมีที่ยืนเพียงตามมุมห้อง คนสองประเภทนี้แม้ตายไปก็ไม่เคยทิ้งอะไรให้กับคนรุ่นหลัง

แต่คนที่มีแสงในตัวเองนั้นเขาไม่สนใจเสียงไร้สาระพวกนี้หรอกครับ เขาจะทำทุกอย่างตามที่เขาเห็นว่าดีและสร้างสรรสิ่งใหม่จากรากเหง้าเดิมในการตีความหมายของเขา ทุกอย่างนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คนที่กล้าขับเคลื่อนให้สิ่งนั้นไม่ตาย และปรับตัวให้ทันสมัยไปตามกาลนั้น น่าสรรเสริญกว่าคนไร้ค่าสองประเภทที่ผมพูดให้ฟังมากมายนัก

ที่มา www.facebook.com/von.richthofen.7