เรือทรายล่มซ้ำขวางเจ้าพระยา
เจ้าท่าวางทุ่นเตือนเป็นเขตอันตรายเรือบรรทุกทรายจมซ้ำกลางเจ้าพระยา จี้เร่งกู้เรือให้เสร็จภายใน 3 วัน
เจ้าท่าวางทุ่นเตือนเป็นเขตอันตรายเรือบรรทุกทรายจมซ้ำกลางเจ้าพระยา จี้เร่งกู้เรือให้เสร็จภายใน 3 วัน
สภาพเรือบรรทุกทรายที่จมลงใต้ท้องน้ำจนเหลือแค่หลังคาที่โผล่เหนือน้ำ
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ได้เกิดเหตุ เรือบรรทุกทรายขนาด 200 ตัน กว้าง 6 เมตร ยาว 22 เมตร กินน้ำลึก 2.50 เมตร ชื่อเรือน้องทรายเกิดล่มจมลงในแม่น้ำเจ้าพระยาจนเหลือเพียงหลังคาเรือตรงจุดที่พักคนคุมเรือโผล่พ้นน้ำมาเท่านั้นเหตุเกิดที่ ม.9 ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา แต่โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ภายหลังเกิดเหตุพ.ต.ท.สมยศ คำอยู่ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางบาล ได้รายงานให้ พ.ต.อ.ภวดิท ชนะคชภัทร์ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และ น.ท.รชต ผกาฟุ้ง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าสาขาอยุธยา และ นางวิมล ไชยวัฒน์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.พระนครศรีอยุธยาเดินทางเข้าตรวจสอบอย่างเร่วด่วนเพราะเกรงว่าจะทำให้บ้านเรือประชาชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับเรือบรรทุกน้ำตาลล่มเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา
จากการสอบสวน นายสมเกียรติ ราชญาณ ชาวบ้านต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า เป็นเจ้าของเรือบรรทุกทรายคันดังกล่าวและเป็นคนขับเรือยนต์ลางจูงชื่อ โชคประเสริฐทรัพย์ ทำหน้าที่ขับโยงนำหน้าเรือบรรทุกทรายทั้งหมดเรือที่พ่วงมามี 4 ลำ ขนาดบรรทุกลำละ 160 คิว จากท่าทรายเฉลิมชัย อ.ป่าโมก จ.อ่างทองล่องมาตามลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อมาถึงช่วงบริเวณหน้าหน้าโรงหล่อ หรือในเขตม.9 ต.บ้านกุ่ม เครื่องยนต์ของเรือยนต์โยงลากจูงเกิดขัดข้อง
"ผมจึงปล่อยไหลมาตามล้ำน้ำ และกระแสน้ำพาไหลเข้าหาตลิ่งที่ยังโชคดีระดับน้ำต่ำทำให้ตลิ่งสูงและห่างไกลบ้านเรือนริมน้ำแต่เรือลำที่จมซึ่งอยู่ลำที่ 4 หรือลำท้ายสุดของพ่วงขบวนได้ไปกระแทกกับริมตลิ่งทำให้ท้องเรือรั่ว และน้ำซึมเข้ามา จนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทัน จึงจำเป็นต้องปลดเชือกขบวนเรือ ลำที่ 1 ถึง 3 ออกจากลำที่ 4 เพื่อให้เรือจมเพียงลำเดียวเท่านั้นสำหรับรวงที่เกิดเหตุนั้นเป็นช่วงทางตรงของแม่น้ำเจ้าพระยา และไม่มีสะพานจึงไม่มีเรือยนต์โยงมาโต่งคัดท้ายขบวนเรือลำเลียงทราย
แต่เมื่อเกิดเหตุได้วิทยุบอกเรือลากจูงลำอื่นในบริเวณดังกล่าวมาช่วยจนสามารถควบคุมเรือบรรทุกทรายอีก 3 ลำจอดได้อย่างปลอดภัย"นายสมเกียรติ กล่าว
ด้าน น.ท.รชต ผกาฟุ้ง หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่า สาขาอยุธยา กล่าวว่า จุดที่เรือบรรทุกทรายจมนั้นห่างจากจุดที่เรือบรรทุกน้ำตาลล่ม ขึ้นมาทางเหนือน้ำประมาณ 10 กม.แต่ครั้งนี้ไม่หนักเท่ากับเมื่อครั้งที่เรือน้ำตาลล่มเพราะกระแสน้ำไม่แรง ตลิ่งไม่พัง บ้านเรือนไม่เสียหายไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และเรือก็บรรทุกทราย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้เรือจมในลักษณะไม่ได้ขวางลำน้ำและไม่กวางร่องน้ำเจ้าพระยาทำให้ไม่ได้ขวางการสัญจรทางน้ำของเรือสินค้าแต่อย่างใดจึงอนุญาตให้เดินเรือสินค้าผ่านจุดดังกล่าวได้อย่างปกติแต่ต้องเพิ่มความเข้มในการเดินเรือเพื่อความปลอดภัย โดยในคืนนี้จะให้เจ้าหน้าที่นำทุ่นมาทิ้งทำเป็นแนวเขตอันตรายให้เป็นที่สังเกตของคนเดินเรือทั้งหมดการเดินเรือจะต้องมีเรือยนต์มาพ่วงโยงหน้าและหลังเพื่อง่ายต่อการบังคับขบวนเรือผ่านจุดดังกล่าว
สำหรับการกู้เรือพบว่าทางเจ้าของเรือรับปากว่าจะกู้เรือให้เสร็จโดยเร็วเพราะทราบมาว่าทางเขื่อนเจ้าพระยาจะมีการเร่งปล่อยน้ำท้ายเขื่อนเพราะในตกหนักในภาคเหนือโดยทางเจ้าของเรือรับปากว่าจะกู้เรือให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันด้วยพอนทูนขนาดที่เหมาะสมกับเรือแต่หากไม่แล้วเสร็จกรมเจ้าท่าจะเข้าดำเนินการกู้เรือแบบเดียวกับที่กู้เรือน้ำตาลและให้เจ้าของเรือออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเช่นกัน