posttoday

เกมล่าอัปยศจาก"เสือดำ" ถึง "เสือโคร่ง"เหยื่อความเชื่อผิดๆของมนุษย์

16 มกราคม 2565

โดย...ปิยรัชต์ จงเจริญ

 *****************

ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าของจ.กาญจนบุรี ที่ถือว่าอยู่ในลำดับต้นๆ ของประเทศ อีกทั้งยังมีผืนป่าที่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่าหายากหลายชนิด และบางชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ 

ความสมบูรณ์ของป่า ได้กลายเป็นสิ่งล่อตาล่อใจกลุ่มนักล่า ภาพการล่าสัตว์ป่ายังคงปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ จนถึงปัจจุบัน ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่พยายามกวาดล้างขบวนการล่าสัตว์ป่า อีกทั้งบทลงโทษก็ชี้ให้เห็นถึงผลพวงของการกระทำที่ผู้ก่อต้องชดใช้กรรมก็ตาม แต่ดูเหมือนเหล่านักล่าจะไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไรนัก  

เกมล่าอัปยศจาก"เสือดำ" ถึง "เสือโคร่ง"เหยื่อความเชื่อผิดๆของมนุษย์

อย่างกรณี "คดีเสือดำ" ที่ "เจ้าสัวเปรมชัย"มหาเศรษฐีระดับประเทศ พร้อมพวก 4 คน ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้าทำการจับกุมขณะตั้งแคมป์ล่าสัตว์ป่า ในพื้นที่หวงห้ามกลางป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี พร้อมยึดของกลางประกอบด้วยซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก เหตุเกิดระหว่างวันที่ 4-6 ก.พ. 2561 

กระทั่งเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2564 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คงจำคุก นายเปรมชัย เป็นเวลา 2 ปี 14 เดือน นายยงค์ โดดเครือ คงจำคุก 2 ปี 17 เดือน และ นายธานี ทุมมาศ คงจำคุก 2 ปี 21 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท   ซึ่งถือเป็นการปิดฉาก "คดีเสือดำ" ที่ นายเปรมชัย กับพวกต่อสู้คดีมานานกว่า 3 ปี  

แต่ผ่านมาได้แค่เพียงเดือนเศษ ก็มาปรากฏเหตุการณ์การล่าสัตว์ป่าเกิดขึ้นในผืนป่าของจ.กาญจนบุรี จนกลายเป็นข่าวดังอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2565 เวลาประมาณ 10.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าลาดตระเวนไปถึงป่าลำห้วยปิล๊อก หมู่ 4 ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ห่างจากในเขตชายแดนไทย-พม่า ประมาณ 3-4 กิโลเมตร ได้ตรวจพบกลุ่มควันไฟมาจากลำห้วย จึงทำการซุ่มเข้าตรวจสอบ พบกลุ่มบุคคล จำนวน 5 คน ตั้งแคมป์อยู่ริมลำห้วย ระหว่างเข้าทำการจับกุมตัวนั้น ปรากฏว่า สุนัขของกลุ่มคนร้ายที่ใช้นำทางเห่าหอนขึ้นมาเสียก่อน ทำให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวไหวตัวและวิ่งหลบหนีเข้าป่าไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามวิ่งไล่ติดตาม แต่ไม่ทัน เนื่องจากกลุ่มบุคคลเหล่านั้นชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี   

เกมล่าอัปยศจาก"เสือดำ" ถึง "เสือโคร่ง"เหยื่อความเชื่อผิดๆของมนุษย์

จากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบแคมป์พัก เจ้าหน้าที่ทุกนายต่างรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่า "เสือโคร่ง" ถูกยิงเสียชีวิต จำนวน 2 ตัว แล้วแร่เอาเนื้อมาย่างไฟ ส่วนหนังของเสือโคร่งทั้งสองตัว ถูกนำมาขึงให้แห้ง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก ซึ่ง 1 ในนั้นเป็นปืนหลวง พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ อีก จำนวน 29 รายการ ตกอยู่ที่แคมป์พัก และจากการตรวจสอบโดยรอบ พบซากวัวจำนวน 1 ตัว ถูกนำมาผูกเอาไว้กับต้นไผ่ สำหรับเอาไว้เป็นเหยื่อล่อเสือโคร่งให้มากินเป็นอาหาร 

จากการตรวจสอบซากเสือโคร่งทั้ง 2 ตัว เบื้องต้นพบว่า ตัวหนึ่งเป็นเพศเมีย น้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม พบรอยวิถีกระสุนบริเวณคอ 4 ตำแหน่ง โดยวิถียิงมาจากด้านหลัง อีกตัวหนึ่งเป็นเพศผู้ น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม พบรอยวิถีกระสุนบริเวณตำแหน่งกะโหลก 2 รอย เจ้าหน้าที่สันนิษฐานน่าจะเป็นรอยกระสุนลูกปลาย  

จากข้อมูลการวิจัย ไม่ปรากฏว่า เสือโคร่งมีถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่อุทยานฯ ทองผาภูมิ มาก่อน จึงต้องประสาน นายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเสือโคร่ง ได้ทำการตรวจสอบลายของเสือ เพื่อจะได้ทราบว่า เสือทั้ง 2 ตัวมาจากพื้นที่ใด 

ต่อมาวันที่ 13 ม.ค.เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่า คนร้ายที่ยิงเสือโคร่งดังกล่าว มีจำนวนทั้งสิ้น 5 คน ประกอบด้วย 1.นายรัชชานนท์ เจริญทรัพย์ อายุ 30 ปี 2.นายศุภชัย ทรัพย์เจริญ อายุ 34 ปี 3.นายจอแห่ง พนารักษ์ อายุ 38 ปี 4.นายกูกือ ยินดี อายุ 37 ปี และ 5.นายโชเอ ไม่มีนามสกุล อายุ 66 ปี ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านปิล๊อกคี่ หมู่ 4 ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จึงได้ร่วมกันเดินทางไปติดตามหาตัว เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดทองผาภูมิเพื่อออกหมายจับ   

เกมล่าอัปยศจาก"เสือดำ" ถึง "เสือโคร่ง"เหยื่อความเชื่อผิดๆของมนุษย์

ผู้ต้องหาที่ 1-4 ให้การรับสารภาพว่าพวกตนได้กระทำความผิดจริงโดยอ้างว่า สาเหตุในการยิงเสือโครงครั้งนี้ เนื่องจากพวกตนมีอาชีพเลี้ยงวัวและควาย แต่เนื่องจากในช่วงนี้ เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมสูง จึงนำต้อนฝูงวัวและควาย เอาไปเลี้ยงในป่าเขา และที่ผ่านมาวัวและควายของพวกตนถูกเสือกินไปแล้วกว่า 20 ตัว จึงนำอาวุธปืนที่พวกตนมีอยู่นำติดตัวไปเพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยง แล้วยิงเสือโคร่งไปจำนวน 2 ตัว และได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานทองผาภูมิตรวจพบขณะนั้นพวกตนตกใจจึงวิ่งหลบหนีไป ส่วน นายโซเอ ไม่มีนามสกุล ผู้ต้องหาที่ 5 ให้การว่าได้เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติจริง แต่ไม่ได้ร่วมยิงเสือกับผู้อื่นแต่อย่างใด 

นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า คณะสัตวแพทย์ตรวจพิสูจน์การเสียชีวิตของเสือแล้วพบว่า เสือโคร่งถูกยิงเข้าบริเวณหัวเพียงตำแหน่งเดียว เป็นลักษณะการจ่อยิง ซึ่งขณะนี้สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ โดย นายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยฯ กำลังเร่งตรวจสอบลายว่าเสือทั้งสองตัวมาจากพื้นที่ใด แต่ขณะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ เนื่องจากว่าหนังของเสือมีความชื้น ส่วนเนื้อของเสือเริ่มมีรอยย่น เมื่อนำไปรวมกันจึงทำให้ดูค่อนข้างยาก 

แต่อย่างไรก็ตาม นายเจริญ ใจชน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เคยชี้แจง รวมทั้งมีนักวิจัยได้ให้ข้อมูลไว้ว่า พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิไม่เคยพบเสือโคร่งมาก่อน แต่เมื่อมาพบ ก็ปรากฏว่าเสือถูกล่าไปแล้ว ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่าเสือโคร่งมีการขยายพันธุ์มากขึ้น จึงต้องมีการขยายถิ่นออกไป หรือเสือทั้ง 2 ตัวที่ถูกล่าอาจจะเป็นเสือที่อาศัยอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านแล้วข้ามเขตเข้ามาหากินในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิที่มีชายแดนติดต่อกันก็เป็นไปได้เช่นกัน 

จากกรณีที่ผู้ต้องหาบอกว่าในห้วง 2 เดือนที่ผ่านมา เสือโคร่งได้เข้ามากัดวัวของชาวบ้านตายไปหลายตัวนั้น จากการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ยืนยันว่าไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อน เพราะหากเกิดขึ้นจริงตามที่ผู้ต้องหาให้การกล่าวอ้าง ชาวบ้านจะต้องมาแจ้งให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าไปตรวจสอบ เพื่อหาแนวทางให้ความช่วยเหลือแล้ว ดังนั้นคำให้การในประเด็นนี้ของผู้ต้องหาจึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอยู่ 

“เชื่อว่าเสือทั้ง 2 ตัวอาจจะย้ายถิ่นฐานมาจากพื้นที่อื่น และเข้ามาอาศัยหากินอยู่ในเขตอุทยานทองผาภูมิได้ประมาณ 1 - 2 เดือน และเมื่อกลุ่มนายพรานเห็นร่องรอยของเท้าเสือโคร่ง จึงร่วมกันวางแผนในการล่าเสือโคร่งทั้ง 2 ตัวดังกล่าว” นายนิพนธ์ กล่าว 

สำหรับ ในทางคดี เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ได้ตั้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน รวม 10 ข้อหา อัตราโทษสูงสุดของทุกข้อหาจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นบทลงโทษเดียวกันกับ "คดีเสือดำ"

ขณะเดียวกันทางตำรวจภูธรภาค 7 จะได้สืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไปว่ามีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของการส่งออกและมีการซื้อขายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ข้อมูลจากแหล่งข่าวต่างๆ ที่รายงานระบุว่า ยังคงมีกลุ่มคนที่มีความเข้าใจผิดๆ เรื่องการบริโภค หรือมีไว้ครอบครองเพื่อประดับบารมี ฐานะ และอำนาจของตัวเอง ทำให้เสือกลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของนักเปิบพิสดาร และนักสะสมของหายาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้มูลค่าของเสือในตลาดมืดสูงกว่า 3 ล้านบาท 

จะเห็นได้ว่าแต่ละส่วนของมันทำเงินในตลาดมืดได้มิใช่น้อยเลยทีเดียว สำหรับเสือตายในไทยราคาอยู่ที่ 6 - 8 แสนบาท แต่เมื่อส่งไปขายยังประเทศลาว เวียดนาม และจีน ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นราว 4 เท่า หรือประมาณ 2.4 - 3.2 ล้านบาท หัวเสือมีราคา 5 - 6 หมื่นบาท เขี้ยวเสือในไทย 2 - 5 หมื่นบาท แต่ในจีนราคาจะอยู่ที่ 8 แสนบาท – 1 ล้านบาท ต่อคู่ กระดูกกิโลกรัมละ 3 - 5 หมื่นบาท หนังเสือราคา 1.4 - 1.5 แสนบาท อวัยะเพศตัวผู้ 6 - 7 หมื่นบาท เล็บ 1 เล็บ ราคา 1 พันบาท  

อาจด้วยเพราะผลประโยชน์ที่จูงใจนี้ จึงทำให้เสือผู้ที่เป็นสัตว์นักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากน้ำมือมนุษย์ และดูเหมือนการล่ายังคงดำรงอยู่ต่อไป ตราบใดที่ความต้องการในตลาดมืดยังไม่สิ้นสุด