posttoday

กบฉ.ขยายเวลาพรก.ฉุกเฉินจว.ชายแดนใต้

02 ธันวาคม 2564

กบฉ.ขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 3 เดือนในจังหวัดชายแดนใต้ ลด อ.แว้งพ้นพื้นที่ประกาศฉุกเฉิน

เมื่อวันที่2ธ.ค.64 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 4/2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานของ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ซึ่ง รายงานผลการดำเนินงานตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ช่วงวันที่ 20 ก.ย.-25 พ.ย.2564 ซึ่งภาพรวมสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประชาชนได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยดีที่ผ่านมา รวมถึงรับทราบ ความคืบหน้าผลการดำเนินงาน ตามแผนปรับลดพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีแนวโน้ม และโอกาสปรับลดพื้นที่ต่อเนื่อง

จากนั้นที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาสออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาบังคับใช้แทน และเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ จชต. ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือนทั้งนี้ตั้งแต่ 20 ธ.ค.2564 สิ้นสุดใน 19 มี.ค.2565 (ครั้งที่ 66) ยกเว้น อ.ไม้แก่น, อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี อ.เบตง, อ.กาบัง จ.ยะลา อ.แว้ง, อ.สุคิริน, อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ทภ.4 ,กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ให้เข้มงวดงานด้านการข่าวและเฝ้าระวังพื้นที่ปรับลด ซึ่งอาจใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนและพักพิงของกลุ่มผู้ก่อเหตุพร้อมทั้งให้จัดทำคู่มือแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย ด้านความมั่นคง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกนายในพื้นที่ที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ ทุ่มเท กระทั่งสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ และขอบคุณประชาชนในพื้นที่ที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้ยืนยันที่จะดูแลความสงบเรียบร้อย ควบคู่การพัฒนาพื้นที่ให้มีความเจริญ และให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี อย่างยั่งยืน ต่อไป