posttoday

โควิดกลายพันธุ์กระทบความเชื่อมั่นศก.ใต้ ม.หาดใหญ่เสนอ3ทางรอด

01 กันยายน 2564

สงขลา-ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ ม.หาดใหญ่ เผย โควิดกลายพันธุ์กระทบความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคใต้ เสนอรัฐบาลพักหนี้ เยียวยา ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.64 ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนสิงหาคม 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนสิงหาคม (39.40) ปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับและเดือนกรกฎาคม (39.60) เดือนมิถุนายน (40.10)

โดยดัชนีที่มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน รายได้หักรายจ่าย การออมเงิน และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

“ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบสำคัญมาจากสถานการณ์โควิด -19 ที่มีการกลายพันธุ์และแพร่ระบาดหนักในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มพบว่าการบริโภคภาคครัวเรือนจำนวนมากกว่าครึ่ง ได้รับผลกระทบมีรายได้จากการจ้างงานที่ลดลง”

และในส่วนราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ ก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากผนวกกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้อุปสงค์สินค้าเกษตรส่วนหนึ่งลดลงส่งผลต่อรายได้ให้ขยายตัวลดลง

อีกทั้ง มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐโครงการคนละครึ่ง ซึ่งมีครัวเรือนบางส่วนที่ไม่เข้าถึงได้ และจำนวนมากที่ได้รับสิทธิคนละครึ่งได้ใช้สิทธิจนครบตามจำนวนที่ได้รับ ทำให้การจใช้จ่ายในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ไม่คึกคัก

ในขณะที่โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังไม่ตอบโจทย์หากการช่วยเหลือและเยียวยาของภาครัฐไม่มีความต่อเนื่องและครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง ย่อมส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อเป็นอย่างมาก

“ซึ่งในระยะข้างหน้าภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบ และเข้าถึงได้ง่าย จึงยังมีความจำเป็นต่อเนื่อง”

ซึ่งกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมก็ได้มีมาตรการเยียวยา 9 กลุ่มอาชีพในโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และ ม.40 ให้แก่แรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม ซึ่งจะสามารถช่วยประคับประคองการดำรงชีพได้บางส่วน

อย่างไรก็ตาม การเร่งดำเนินการเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลง ทั้งการตรวจเชิงรุก เพื่อแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไปทำการรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่คลัสเตอร์อื่น ๆ รวมถึงการจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้ได้มากที่สุดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น

ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะที่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ทำให้จำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ ซึ่งไม่เอื้อต่อกิจกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐในหลายประเทศ มีการยกระดับคำเตือนสำหรับประชาชนที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย

เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ CDC (Center for Disease Control and Prevention) จึงไม่น่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มการท่องเที่ยวไทย

นอกจากนี้การท่องเที่ยวไทย ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล ซึ่งมีการยกระดับและความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์การชุมชนให้อยู่ภายใต้กฎหมาย และสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ท่องเที่ยวที่เป็นเป้าหมายได้

การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่น ๆ ย่อมเป็นไปในทิศทางที่ดี ในช่วงเวลาที่เหลือของปี อันจะทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และดีขึ้นตามลำดับในไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า

จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะ

1. ความกังวลต่อการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในวันที่ 1 กันยายน 2564 ว่าภาครัฐจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้หรือไม่ และหากสถานการณ์ลุกลามบานปลายจนเกิดการแพร่ระบาดหนักเป็นระลอกที่ 5 ภาครัฐจะมีมาตรการและแผนการรองรับไว้อย่างไรบ้าง

2. ความชัดเจนของภาครัฐในการเร่งดำเนินการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุมจำนวนทุกกลุ่มอายุและอาชีพ รวมถึงภาครัฐควรให้ข้อมูลอย่างละเอียดในการสื่อสารอย่างครบถ้วน รวมถึงรับประกันความปลอดภัยในการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความกังวลต่อผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ให้ได้รับความมั่นใจและกล้าที่จะฉีดวัคซีนมากขึ้น

3. ควรเร่งรีบในการจัดหาชุดตรวจโควิด-19 แอนติเจนเทสต์คิตหรือ ATK ให้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ สำหรับให้บริการตรวจโควิด-19 รวมถึงการจัดส่งให้ทุกครัวเรือน เพื่อให้สามารถตรวจได้ด้วยตนเองโดยคัดเลือก ATK ที่มีคุณภาพ โดยผลจากการตรวจ ATK ต้องมีความถูกต้องและแม่นยำสูง

ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 39.60 และ 32.80 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 35.60 และ 30.30 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 33.50, 37.10 และ 30.10 ตามลำดับ

ปัจจัยที่ส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ คิดเป็นร้อยละ 27.40 รองลงมา คือ ค่าครองชีพ และราคาสินค้าสูง คิดเป็นร้อยละ 25.10 และ 18.60 ตามลำดับ

“ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือการพักหนี้ รองลงมา คือการเยียวยาอย่างต่อเนื่อง การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19”.