posttoday

ผู้การฯบุรีรัมย์แจงตร.11 นายฉีดวัคซีนเข็ม3 เป็นจิตอาสารับส่งผู้ป่วย

26 กรกฎาคม 2564

ผู้การฯ ตำรวจบุรีรัมย์ แจงตำรวจ11 นายสังกัด สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ฉีดวัคซีนเอสตร้าเซนเนก้าเข็ม 3 เป็นตำรวจที่สมัครใจร่วมโครงการรับ-ส่งผู้ป่วยโควิดจากพื้นที่เสี่ยงกลับบ้าน ถือเป็นด่านหน้าที่เสี่ยงปฏิบัติภารกิจด้วยจิตอาสา ยันวัคซีนที่ฉีดเป็นคนละส่วนกันไม่ได้เบียดบังโควตาบุคลากรการแพทย์

ความคืบหน้ากรณีที่ "สถานีตำรวจภูธรบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์" ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความใจความว่า เจ้าหน้าที่ 11 นาย ได้รับการฉีดวัคซีน เอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 3 จนกลายเป็นกระแสวิพากวิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ถึงความเลื่อมล้ำในการจัดสรรและให้บริการฉีดวัคซีน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 64 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้จัดทำโครงการ “ทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา” ด้วยการจัดรถและตำรวจบริการรับส่งผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงกลับภูมิลำเนา ซึ่งก็มีสถานีตำรวจภูธรในสังกัด 9 แห่ง จากทั้งหมด 34 สภ. สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยแต่ละ สภ.ที่เข้าร่วมโครงการก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาสาเข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจไม่มีการบังคับ ก็จะมีรายชื่อของคนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการชัดเจน

สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับตำรวจที่เป็นประเด็นในครั้งนี้ ทางตำรวจไม่ได้ไปเอาโควตาทางการแพทย์ หรือของหมอ พยาบาล แต่จำนวนวัคซีนที่ลงไปเป็นวัคซีนในส่วนของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ส่วนหนึ่ง กับกลุ่มเสี่ยงอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งวัคซีนขวดหนึ่งสามารถนำไปแบ่งฉีดได้ 10-12 โดส และโดยทั่วไปบุคลากรทางการแพทย์สามารถบริหารส่วนนี้ได้ ส่วนที่เป็นเศษ 1 หรือ 2 ได้ ซึ่งกรณีที่มีเศษเจ้าหน้าที่ได้มีการพิจารณากันแล้วว่า ตำรวจก็มีส่วนเป็นด่านหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งทางสาธารณสุขแต่ละอำเภอก็รู้ว่ามีใครตำรวจคนไหนบ้าง ที่เข้าโครงการกลับภูมิลำเนาของตนเอง ก็เลยมีการประสานกันแล้วตำรวจทั้ง 11 คนนี้ก็ได้เข้าไปฉีด

วัคซีนชุดนี้ไม่ได้มีมาเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น มีทั้งกลุ่มเสี่ยงด่านหน้าด้วย ซึ่งก็จะมีการจัดสรรจากเศษตรงนี้ นำมาฉีดให้ตำรวจกลุ่มเสี่ยง ซึ่งถือเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ที่ได้มีการจัดรถยนต์ควบคุมผู้ต้องหา และตำรวจที่สมัครใจ

ตอนนี้จากการสำรวจได้มีผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มสีเขียว สมัครใจติดต่อมายังตำรวจแล้ว 4 ราย ที่เข้าโครงการตรงนี้ ซึ่งทั้งภูธรจังหวัด มีทั้งหมด 34 สภ. มีสมัครใจเข้าร่วมโครงการเพียง 9 สภ.เท่านั้น ซึ่งตำรวจทั้ง 11 นายของ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนตามที่เป็นข่าวนั้น เป็นผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในโครงการและเป็นผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่จริงอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีสัญญาบัตร 1 นาย และประทวน 10 นายเสมอไป ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับขอบเขตอัตรากำลังของแต่ละโรงพักด้วย

โครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา มีผลการปฎิบัติอยู่จริง และตำรวจก็ได้ปฏิบัติหน้าที่จริง แต่มีสื่อโซเชียลนำมาเสนอข่าวในลักษณะทำให้หลายคนไม่สบายใจ ว่า ตำรวจไปแย่งโควตาของบุคลากรทางการแพทย์มาหรือไม่ ซึ่งขอยืนยันว่าวัคซีนขวดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะสามารถแยกย่อยได้แค่ 10 โดส แต่สามารถแยกย่อยได้ถึง 11-12 โดส ซึ่งทางหมอ-พยาบาล ก็สามารถบริหารตรงนี้ได้ และขอยืนยันว่า ที่ตำรวจฉีดไม่ได้เป็นการเบียดบังของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมันเป็นคนละส่วนกัน

เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วย ดังนั้น ทางตำรวจโดย ผกก.สภ.พุทไธสง ได้นำร่องเป็นหัวเรือในการชักชวนหัวหน้าโรงพักที่มีจิตอาสาเข้าร่วมโครงการ ซึ่งตนมองว่าเป็นโครงการที่ดี และทีแรกตั้งใจจะดำเนินการให้ครบทั้ง 34 สภ. แต่เกรงว่าในบางโรงพักอาจจะไม่มีความพร้อมในส่วนของบุคลากร ก็เลยขอให้เป็นในเรื่องของการสมัครใจเลยได้มาเบื้องต้นจำนวน 9 โรงพัก ต่อไปถ้าโรงพักอื่นมีความพร้อมในการดำเนินการ และสนใจเข้าร่วมโครงการก็ยินดี ซึ่งโครงการนี้ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมีความไม่สบายใจคือการฉีดวัคซีน ก็ต้องเข้าใจว่าตำรวจเหล่านี้เขาเป็นด่านหน้าจริง ที่จะต้องไปรับผู้ป่วย และมีการปฎิบัติหน้าที่จริง

ซึ่งทั้ง 9 โรงพักที่เข้าร่วมโครงการนี้ มีตำรวจด่านหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 11 นาย ในส่วนของ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ที่เป็นกระแสข่าว และในส่วนอีก 8 โรงพักที่เหลือ ถ้าวัคซีนมีเศษเหลือ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องหรือเบียดบังโควตา ของเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ ก็เชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็คงจะจัดสรรในส่วนเศษที่เหลือ ให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าและทำการฉีดให้กับตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่ด่านหน้าเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้สำหรับโครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา ทางสถานีตำรวจภูธรพุทไธสง ได้มีการประชุมร่วมกับฝ่ายปกครอง ฝ่ายสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจัดทำโครงการโดยจัดยานพาหนะ บุคลากร และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ในรูปแบบจิตอาสา เพื่อเป็นยานพาหนะเดินทางไปรับผู้ติดเชื้อที่มีความต้องการกลับมารักษาตัวกลับ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือสั่งการให้สถานีตำรวจสำรวจยานพาหนะและมีความพร้อมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนเป็นการเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือในการรับญาติที่เดินทางไปทำงานต่างถิ่นกลับมารักษาที่บ้าน หรือสถานพยาบาลในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์

ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนยานพาหนะในการรับส่งผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลในภูมิลำเนา และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนที่รับความเดือดร้อนในภาวะวิกฤต รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้องค์กรตำรวจ จึงได้จัดโครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธาขึ้นนำร่องโดย มีสถานีตำรวจภูธรในสังกัด ภ.จว.บุรีรัมย์ เข้าร่วมดำเนินการจำนวน 9 สถานี คือ สถานีตำรวจภูธรลำปลายมาศ, สถานีตำรวจภูธรพุทไธสง, สถานีตำรวจภูธรบ้านใหม่ไชยพจน์, สถานีตำรวจภูธรหนองหงส์, สถานีตำรวจภูธรชำนิ, สถานีตำรวจภูธรนาโพธิ์, สถานีตำรวจภูธรคูเมือง, สถานีตำรวจภูธรทะเมนชัย, สถานีตำรวจภูธรหินเหล็กไฟ