posttoday

ผบช.ภ.4มั่นใจหลักฐานแน่นเอาผิด "นัน กิ่งเพชร" แจ้งเพิ่มอีก2ข้อหา

25 พฤศจิกายน 2562

ผบช.ภ.4 เผย "นัน กิ่งเพชร" ปากแข็งให้การปฎิเสธกรรโชกทรัพย์จับลิขสิทธิ์ มั่นใจหลักฐานแน่นเอาผิดได้ พร้อมแจ้งเพิ่มอีก 2 ข้อหาเอาผิดชุดใหญ่

ผบช.ภ.4 เผย "นัน กิ่งเพชร" ปากแข็งให้การปฎิเสธกรรโชกทรัพย์จับลิขสิทธิ์ มั่นใจหลักฐานแน่นเอาผิดได้ พร้อมแจ้งเพิ่มอีก 2 ข้อหาเอาผิดชุดใหญ่

เมื่อวันที่ 25 ก.ย.62 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผบช.ภ.4 ได้ทำการสอบปากคำนายภูมิภากร หรือนัน กิ่งเพชร อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมหาสารคามในข้อกล่าวหา "กรรโชกทรัพย์" จากกรณีการล่อซื้อจับลิขสิทธิ์

ซึ่งขณะสอบปากคำนั้น ผู้ต้องหาให้การปฎิเสธ แต่ยอมรับว่า ได้คุยกับผู้เสียหายบ้าง แต่การเรียกรับเงินหรือขั้นตอนการบริหารจัดการ การรับเงิน การลงบันทึกประจำวันนั้น มี นายพิพล ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้จัดการ

ผบช.ภ.4 กล่าวอีกว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งความจากผู้เสียหายจึงมีการตรวจสอบรายละเอียดจนทราบว่า นายภูมิภากร ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่ใช่พนักงานบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ ในส่วนของนายพิพล นั้นเป็นพนักงานที่รับมอบอำนาจจากบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์จริง แต่พฤติกรรมที่ทำไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่เป็นการกรรโชกทรัพย์จากประชาชน จึงมีการรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับ นายพิพล และ นายภูมิภากร ในข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์

"จากนี้ไปตำรวจจะส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม ในส่วนที่ผู้ต้องหาให้การภาคเสธนั้น เป็นเรื่องปกติ ซึ่งในจุดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด เพราะมีพยาน หลักฐานที่ชัดเจน สามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ และสามารถนำตัวส่งฟ้องศาลได้เช่นกัน ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนนั้น ได้คัดค้านการประกันตัว ส่วนในชั้นศาลนั้น ผู้ต้องหาสามารถยื่นประกันตัวได้ตามสิทธิที่พึงกระทำได้"

ผบช.ภ.4 กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า พฤติกรรมของนายภูมิภากร มีความผิดที่ชัดเจนและตำรวจมีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ตามกฏหมายคือคดีกรรโชกทรัพย์ และจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มอีก 2 ข้อหา คือแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เพราะผู้ต้องหาไม่ได้เป็นตำรวจ และไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์

ในขณะที่นายพิพล ผู้ต้องหาอีกคนที่ถูกออกหมายจับ แต่ยังจับกุมตัวไม่ได้ก็อยู่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานกับทางบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ เพื่อขอคำตอบที่เป็นเอกสารยืนยันว่า เป็นพนักงานผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท หน้าที่ที่รับผิดชอบ กับการกระทำที่ทำกับผู้เสียหายนั้นถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการกระทำที่เกินหน้าที่ ที่ตัวเองรับผิดชอบก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหาแจ้งความเท็จ และข้อหาแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอีกด้วย