posttoday

พบรถ3คนร้ายแทงตร.ศาลพัทยาแล้ว คาดเปลี่ยนรถหนีไปชายแดน

05 พฤศจิกายน 2562

พบแล้วรถ 3 ผู้ต้องหาแทงตำรวจศาล ยิงเปิดทางหลบหนี ถูกทิ้งริมทางพื้นที่ศรีราชา คาดสับเปลี่ยนรถหนีต่อ หวังไปประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ศาลออกหมายจับ 5 ข้อหาหนัก

พบแล้วรถ 3 ผู้ต้องหาแทงตำรวจศาล ยิงเปิดทางหลบหนี ถูกทิ้งริมทางพื้นที่ศรีราชา คาดสับเปลี่ยนรถหนีต่อ หวังไปประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ศาลออกหมายจับ 5 ข้อหาหนัก

จากกรณีได้มีคนร้าย 3 รายคือ นายหน่อย หรือต้น นิลเทศ อายุ 40 ปี น.ส.สิรินภา วิเศษฤทธิ์ อายุ 30 ปี นายบาร์ท อันเลน เฮลมัส อายุ 39 ปี ได้ร่วมกันใช้มีดแทงตำรวจศาลพัทยา แล้วใช้ปืนยิงเปิดทางวิ่งหลบหนีไปขึ้นรถกระบะที่จอดรออยู่ หลังจากเกิดเหตุ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการตำรวจภูธรภาค 2 ออกไล่ล่าคนร้าย เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ย.62 มีรายงานว่าทางเจ้าหน้าที่พบรถยนต์ของ 3 ผู้ต้องหาแล้ว โดยจอดอยู่ริมถนนบริเวณสวนอุตสาหกรรม หมู่ที่ 4 ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่และที่พักของนายหน่อย หรือต้น นิลเทศ 1 ในกลุ่มผู้ต้องหา โดยคาดว่าน่าจะมีคนขับรถมาให้สับเปลี่ยนเพื่อเดินทางหลบหนีต่อ

รายงานข่าวระบุว่า เส้นทางนี้สามารถเดินทางต่อไปได้ยัง จ.ปราจีนบุรี สระแก้ว นครราชสีมา หรือ อ.มะขาม จ.จันทบุรี เพื่อเดินทางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสกัดทุกเส้นทางไว้แล้ว

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีอีกชุดได้ออกติดตามผู้ร่วมขบวนการที่ให้การช่วยเหลือ3คนร้ายในการหลบหนี ทั้งนี้ สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้จำนวน2ราย ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบปากคำ ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนติดตามเพื่อจับกุม 3 คนร้ายรายนี้ให้ได้โดยเร็ว

ทั้งนี้ ศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับ ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ในข้อหา 5 ข้อกล่าวหา คือ 1.ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน 2.ร่วมกันหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคน ขึ้นไป โดยมีหรือใช้อาวุธปืน 3.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และ 5.ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมชน โดยไม่มีเหตุอันควร