หมอสูติฯยอมรับเครียดหนัก ยืนยันไม่ได้ข่มขืนคนไข้

หมอสูตินารีเวชที่นครสวรรค์ยอมรับเครียดมาก ยืนยันไม่ได้ข่มขืนคนไข้ตามที่ถูกกล่าวหา ห่วงวงการแพทย์ได้รับผลกระทบ

ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีร้องทุกข์นายแพทย์สูตินารีเวช ที่ จ.นครสวรรค์ ข่มขืนคนไข้หญิงขณะตรวจภายใน ซึ่งกำลังตกเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้นั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสัมภาษณ์ นายแพทย์คนดังกล่าวและได้รับการเปิดเผยว่า ขณะนี้มีความรู้สึกเครียดอย่างมาก และขอยืนยันว่า ไม่ได้ข่มขืนคนไข้ตามที่ถูกกล่าวหา ส่วนเรื่องการที่ตนถูกแบล็คเมล์หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่ขอพูดถึง เนื่องจากเป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบในวงกว้าง การที่ทนายอีกฝั่งนำข้อมูลใดมาเปิดเผย ก็ขอให้นึกถึงภาพรวมที่จะทำให้เกิดผลกระทบทั้งต่อวงการแพทย์ และคนไข้ด้วย

"ตั้งแต่เกิดเรื่องราวขึ้น ผมรู้สึกเป็นห่วงต่อวงการแพทย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านสูตินารีเวช กลัวว่า จะได้รับผลกระทบทำให้คนไข้ที่ต้องรักษาด้านนี้หลายรายไม่กล้ามาตรวจรักษาเพราะกลัวหมอ ซึ่งผมขอย้ำอีกครั้งว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยมีพฤติการณ์แบบนี้ ผมรักษาคนไข้ตามจรรยาบรรณของแพทย์มาโดยตลอด ซึ่งการตรวจภายในนั้น มีเทคนิคการตรวจอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้หนักหรือเบาแค่ไหน แต่การตรวจบางครั้งก็อาจทำให้คนไข้รู้สึกคล้ายกับกระตุ้น ซึ่งขอยืนยันว่า ทุกวิธีเป็นการตรวจรักษาของหมอที่ปฏิบัติตามหลักของแพทย์"นายแพทย์ที่ถูกกล่าวหาระบุ

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงวิธีการรักษา โดยขอให้ยกตัวอย่าง นายแพทย์คนดังกล่าวระบุว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้ ก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้ววางสายโทรศัพท์ไป

ด้าน นายแพทย์อดิสรณ์ วรรธนะศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนี้กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่เรื่องนี้ ยังไม่สามารถชี้ถูกหรือชี้ผิดได้ทันที และนายแพทย์ที่ถูกกล่าวหายังคงให้การปฏิเสธ ดังนั้น ในทางกฎหมาย นายแพทย์คนนี้ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่ขณะนี้ ยังอยู่ในการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบ ซึ่งก็ต้องทำควบคู่กับกระบวนการทางกฎหมายของตำรวจด้วย ซึ่งต้องรอผลการสืบสวน หากมีมูลจริง ก็จะมีการลงโทษตามวินัยของระเบียบราชการ ส่วนของตำรวจก็จะดำเนินคดีไปตามหลักกฎหมาย

นายแพทย์อดิสรณ์ กล่าวว่า จากการรวจสอบคลินิกหมอสูตินารีเวชที่ถูกกล่าวหา ไม่พบว่ามีความผิดปกติใดๆ แต่เท่าที่พบ ก็มีอยู่เรื่องเดียว คือกระบวนการตรวจสอบภายในที่หลักๆ มีอยู่ 3 ข้อ คือ 1.ผู้ป่วยต้องยินยอมให้ตรวจ 2.ต้องมีเหตุในการตรวจ และ 3.ในระหว่างการตรวจต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งการตรวจสอบในเรื่องนี้ ยังได้ข้อมูลยังไม่ชัดเจน ต้องมีการสอบสวนต่อไป