posttoday

ตำรวจรวบแก๊งฉ้อโกงเกษตรปลูกมัน-เปิดเฟซบุ๊กหลอกให้ลงทุนมูลค่าเสียหายกว่า88ล.

18 กรกฎาคม 2561

นครราชสีมา-ตำรวจภาค3แถลงจับบริษัทหลอกลวงชาวบ้านปลูกมันเทศญี่ปุ่นเบี้ยวเงินรับซื้อ-เปิดเฟซบุ๊กเชิญชวนประชาชนลงทุนรวมมูลค่าความเสียหายกว่า88ล้านบาท

นครราชสีมา-ตำรวจภาค3แถลงจับบริษัทหลอกลวงชาวบ้านปลูกมันเทศญี่ปุ่นเบี้ยวเงินรับซื้อ-เปิดเฟซบุ๊กเชิญชวนประชาชนลงทุนรวมมูลค่าความเสียหายกว่า88ล้านบาท

พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 แถลงข่าวจับกุม ผู้ต้องหาฉ้อโกงทรัพย์ประชาชน จำนวน 8 ราย ใน 2 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 88 ล้านบาท คดีแรก เป็นคดีที่บริษัท พีพี.เท็น กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ และมีสาขาอยู่ 8 แห่ง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น จ.เชียงราย และ จ.พิษณุโลก ชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาลงทุนปลูกมันเทศญี่ปุ่นโดยจะขายยอดมันให้เกษตรกร ราคายอดละ 10 บาท เพื่อนำไปปลูกในไร่ เฉลี่ยไร่ละประมาณ 4,000 ยอด คิดเป็นมูลค่าการลงทุนไร่ละ 40,000 บาท และรับปากว่าจะรับซื้อคืนในราคายอดละ 4.50 บาททุกยอด

นอกจากนี้หากเกษตรกรรายใดหาสมาชิกใหม่ ก็จะได้เปอร์เซ็นต์เพิ่มยอดละ 10 สตางค์ และหากสมาชิกใหม่มีพื้นที่เพาะปลูกตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป จะดาวน์รถยนต์อีซูซุมิวเอ็กซ์ให้จำนวน 1 คัน จนทำให้มีเกษตรกรหลงชื่อร่วมลงทุนจำนวน 175 ราย แต่ปรากฏว่าทางบริษัทฯ ไม่รับซื้อคืนอ้างว่ายอดมันไม่ได้มาตรฐานและเน่าเสีย ทำให้เกษตรกรได้รับความเสียหายเป็นมูลค่าเงินกว่า 30 ล้านบาท มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปักธงชัย และสถานีตำรวจภูธรหลายท้องที่

ต่อมา เมื่อวันที่ 16 ก.ค.61 ตำรวจภูธรภาค 3 ได้สืบสวนสอบสวนจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 ราย ประกอบไปด้วย 1.บริษัท พีพี.เท็นกรุ๊ป จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล), 2.นายภาณุพงค์ คงเจริญถิ่น อายุ 53 ปี ประธานกรรมการบริษัทฯ,3.นายธนกฤติ ผันสำโรง อายุ 48 ปี วิทยากรบริษัทฯ และ 4.น.ส.พบพร พิภพโยพินกุล อายุ 43 ปี ผู้จัดการบริษัทฯ โดยแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกระทำการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดไปควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับส่งเรื่องไปให้ ปปง. เพื่อดำเนินคดียึดทรัพย์ อายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาต่อไป

คดีที่สองเป็นคดีหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนทางเฟซบุ๊ก จับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย ประกอบไปด้วย 1.นางปิยวดี เดชผล อายุ 28 ปี, 2.นายณรงค์ เดชผล อายุ 34 ปี, 3.นางสมฤดี ศรีจะบก อายุ 20 ปี และ 4.น.ส.กรรณิกา เชิญกลาง อายุ 31 ปี ทั้งนี้สืบเนื่องจากช่วงประมาณปี 2560-เดือนเมษายน 2561 นางปิยวดี เดชผล ได้ใช้เฟชบุ๊คชื่อ “เบียร์ เบียร์ เบียร์”ชักชนให้ประชาชนทั่วไป ร่วมลงทุนหรือฝากเงินแล้วเสนอเงินปันผลให้ร้อยละ 10 บาท ต่อ 10 วัน ซึ่งมีผู้หลงชื่อร่วมลงทุนจำนวนมาก โดยผู้เสียหายได้โอนเงินไปให้ในบัญชีธนาคาร 5 บัญชี  หลังจากฝากเงินร่วมลงทุนแล้ว ผู้เสียหายได้รับเงินปันผลตามที่ตกลงตลอดมา

ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2561 นางปิยวดี เดชผล ได้เสนอโครงการฝากเงินรายวันได้รับปันผลทุกวัน ร้อยละ 2 - 20 บาท/วัน มีกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อได้ร่วมลงทุนโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวข้างต้น แต่ต่อมาปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่ได้จ่ายเงินปันผลตามที่ตกลง ผู้เสียหายจึงทวงถาม และขอเงินลงทุนคืนแต่กลุ่มผู้ต้องหาไม่ยอมคืนเงินให้จนถึงปัจจุบัน โดยแจ้งแก่ผู้เสียหายว่า ถ้าได้เงินคืนให้ไปฟ้องร้องคดีเอาเอง ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวงอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน  จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้

ต่อมาวันที่ 16 มิถุนายน 2561 ผู้ต้องหาที่ 1, เข้าพบพนักงานสอบสวน วันที่ 18 มิถุนายน 2561 ผู้ต้องหาที่ 4 เข้าพบพนักงานสอบสวน และวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ผู้ต้องหาที่ 2 และที่ 3 เข้าพบพนักงานสอบสวน โดยไม่มีการจับกุมและควบคุม และผู้ต้องหาทั้งสี่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุให้ออกหมายขัง เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา ขอให้ออกหมายขังและขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว (ประกันตัว)  ปัจจุบันผู้ต้องหาที่ 1 ถูกควบคุมอยู่ที่เรือนจำจังหวัดนครราชสีมา ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 - 4 ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีประกัน

คดีนี้มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน จำนวน 115 ราย  รวมความเสียหายเป็นเงิน 58,817,703 บาท

สำหรับมาตรการยึด อายัด ทรัพย์สินของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนได้มีหนังสือไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการยึด อายัด ทรัพย์สินของผู้ต้องหา เป็นอีกส่วนหนึ่งแล้ว ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการ ปปง. ในคดีดังกล่าวคาดว่า จะสรุปสำนวนการสอบสวนและมีความเห็นเสนอพนักงานอัยการ ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2561.