posttoday

หัวอกแม่กลัวลูกไม่ปลอดภัยหลังแฉแก๊งปลอมเอกสารเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้

10 กุมภาพันธ์ 2561

ขอนแก่น-แม่ผวาหวั่นลูกสาวไม่ปลอดภัยหลังแฉขบวนการปลอมแปลงเอกสารเท็จเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ของพม.กรณีถูกสั่งให้ทำในช่วงของการฝึกงาน

ขอนแก่น-แม่ผวาหวั่นลูกสาวไม่ปลอดภัยหลังแฉขบวนการปลอมแปลงเอกสารเท็จเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ของพม.กรณีถูกสั่งให้ทำในช่วงของการฝึกงาน

เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2561 เวลา 16.00น.ที่บ้านพักในจังหวัดขอนแก่น (เจ้าตัวไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากถูกคุกคาม) นางน้อมจิตต์ ยศปัญญา อายุ 52 ปี มารดาของ น.ส.ปนิดา ยศปัญญา อายุ 22 ปี นักศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มไม่มีความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของลูกสาวและครอบครัวกรณีที่บุตรสาวออกมาเปิดเผยข้อมูลและส่งเรื่องร้องเรียนไปยังเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. รวมไปถึง ปปท. และ ปปช. จากการที่ถูกผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในเรื่องของเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ ตามระเบียบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม.สั่งการให้นักศึกษาฝึกงานทำการปลอมแปลงข้อมูลในเอกสารช่วยเหลือประชาชน ทั้งเอกสารของผู้ยากไร้ ผู้ป่วยเอดส์และส่งเสริมอาชีพ รวมทั้งให้ปลอมลายมือชื่อของประชาชนในใบเสร็จรับเงิน กว่า 2,000 ชุด เงินเป็นมูลค่าเงินรวมกว่า 6,900,000 บาท

“โดยส่วนตัวรับไม่ได้กับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นลูกสาว โดยเฉพาะกับการที่ ลูกสาวกับเพื่อนนักศึกษาอีก 3 คน นำเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะฝึกงานไปบอกกล่าวกับทางอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กโกหก ในขณะเดียวกันเวลาพูดคุย ซักถามรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะฝึกงานกลับถามต่อหน้า เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ ซึ่งเป็นคนสั่งให้ลูกและเพื่อนทำการปลอมลายมือชื่อชาวบ้านซึ่งลูกสาวและเพื่อนต่างไม่กล้าพูดความจริงเพราะกลัวว่าจะฝึกงานไม่จบ จึงไม่มีใครพูด อาจารย์ จึงสั่งให้ลูกสาวและเพื่อนกราบเท้าขอโทษ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มีเอกสารหลักฐานชักเจน อาจารย์ควรที่จตะปกป้องลูกศิษย์ และทำหน้าที่ของอาจารย์ให้ดีกว่านี้

นางน้อมจิตต์ กล่าวต่ออีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ครอบครัวไม่พอใจอย่างมาก เป็นอาจารย์แท้ๆ ไม่ปกป้องลูกศิษย์ตัวเอง การตรวจสอบยังไม่เกิดขึ้นก็ตัดสินว่าลูกศิษย์ตัวเองเป็นฝ่ายผิด เป็นเด็กโกหก มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้เด็กกราบเท้าเพื่อให้เรื่องนั้นจบและเงียบไป นักศึกษาต้องออกมาต่อสู้ มาเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง และวันนี้มีการตรวจสอบทั้งระบบ มหาวิทยาลัยฯเองก็ควรที่จะปกป้องนิสิตของตัวเองด้วย

“ทุกวันนี้กลัวว่าลูกและครอบครัวจะได้รับอันตราย ก่อนหน้านี้หลังจากที่มีการส่งเรื่องเข้าร้องเรียนต่อ คสช.,ปปท และ ปปช., ผู้อำนวยการศูนย์ฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของศูนย์ที่เกี่ยวข้อง ต่างพากันสอบถามและพยายามตามหาบ้านพักเพื่อขอเข้าเจรจาพูดคุย และยังคงตามไปหาถึงมหาวิทยาลัยฯ เพื่อจะพูดคุยในเรื่องที่เกิดขึ้น ลูกสาวเป็นคนแรกและคนเดียวในฐานะตัวแทนนักศึกาที่ถูกคำสั่งโดยไม่ชอบดังกล่าว ออกมาเปิดเผยตัวตนที่ชัดเจน ก็กลัวที่จะได้รับอันตรายและกลัวว่าจะเรียนไม่จบ จึงอยากให้ พล.อ.ประบุทธ์  จันโอชา นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,เลขาธิปาร ปปท. และ เลขาธิการ ปปช.ได้รักษาความปลอดภัยให้กับครอบครัวด้วย ลูกสาวเป็นเด็กเรียนดี วันนี้ออกมาต่อสู้เพื่อตัวเองที่ถูกขบวนการของรัฐกระทำความผิด ออกมาต่อสู้ให้กับผู้ย่ากไร้และผู้ป่วยโรคเดอส์ ในฐานะนักพัฒนาชุมชน ได้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายหมดแล้ว จากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้ผู้ที่มีอำนาจนั้นดูแลให้ด้วย”

ขณะที่ น.ส.ปนิดา ยศปัญญา กล่าวว่า การร้องเรียนครั้งนี้ยอมรับว่ากลัวมาก แต่ครอบครัวนั้นให้กำลังใจและช่วยกันทุกคน ซึ่งเมื่อครั้งผู้ตรวจกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ลงพื้นที่ตรวจงานที่ศูนย์ฯตน เองและเพื่อนอีก 3 คน จึงยื่นเรื่องร้องเรียนโดยตรง แต่ก็ไม่คืบหน้า

“ทำทุกอย่างที่ทำ ก็เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองและเพื่อประชาชนตามสิทธิที่ควรพึงจะได้  เพราะถ้าเราไม่ปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ทำเพื่อสังคม เราจะเป็นนักพัฒนาที่ดีได้อย่างไร เรียนมาด้านนี้ และเข้าฝึกงานที่ศูนย์ฯก็เพราะต้องการเป็นนักพัฒนาที่ดี เรียนจบออกไปทำงานเพื่อสังคมและประชาชนผู้ยากไร้อีกหลายล้านคน”

น.ส.ปนิดา ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่เดินหน้าร้องเรียน ควบคู่กับการเรียน และการทำวิจัย เพราะเรียนอยู่ปีที่4 แล้ว พอเกิดเรื่อง ผอ.ศูนย์ฯ และเจ้าหน้าที่ก็ตระเวนตามหาตัวที่บ้าน  ไปหาที่ มหาวิทยาลัย เพื่อขอทราบบ้านพักอาศัย ขอทราบที่อยู่ พ่อ แม่ ซึ่งไม่ทราบเจตนาของการค้นหาว่า ต้องการอะไร แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าจะไม่ปลอดภัย และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล ในเรื่องความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัวด้วย และในวันพรุ่งนี้ (11 ก.พ.) ตนเองและครอบครัว จะเข้าให้การต่อ เลขาธิการ ปปท. ในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตามแนวทางการสอบสวนของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบอีกครั้ง