จ่าขนอาวุธสงครามสารภาพนำไปขายให้ชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ
รองผบ.ตร.แถลง จ่าทหารขนอาวุธสารภาพซื้อจากกัมพูชาก่อนนำไปขายให้ชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ เผยทะเบียนกงจักรปลอมซื้อจากสะพานเหล็ก
รองผบ.ตร.แถลง จ่าทหารขนอาวุธสารภาพซื้อจากกัมพูชาก่อนนำไปขายให้ชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ เผยทะเบียนกงจักรปลอมซื้อจากสะพานเหล็ก
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เวลา 15.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจ.ตราด พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิตพราหมณกุล รองผู้บังคับการตำรวจแห่งชาติเดินทางจากสนามบินจ.ตราด ต.ท่าโสม อ.เขาสมิง จ.ตราดเดินทางมาทำการสอบสวนผู้ต้องหาค้าอาวุธสงครามทั้ง 3 คน ประกอบด้วย พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านการข่าว กอ.รมน.กรุงเทพมหานคร และ ชายชาวกัมพูชาอายุ 29 ปี และชายไทยอายุ 37ปี
พล.ต.อ.ศรีวราห์ แถลงว่า จากการ สอบถาม พ.อ.อ.ภคิน ได้ยอมรับว่า ซื้ออาวุธสงครามจากชาวกัมพูชาไม่ทราบชื่อ และได้มีการขนไปจำหน่ายให้กับชนกลุ่มน้อยที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเพียงนายหน้าและทำเพียงคนเดียว โดยจะนำอาวุธทั้งหมดไปส่งในพื้นที่ แล้วเข้าไปรับเงินจากผู้ซื้อ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด และไม่รู้จักกับผู้ต้องหาอีก 2 คน
ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายครั้งนี้จำไม่ได้ว่ามีมูลค่าเท่าไร แต่ได้ทำมาแล้ว 2-3 ครั้ง โดยใช้รถยนต์คันที่เกิดเหตุเดินทางเข้ามาและติดป้ายทะเบียนตรากงจักรที่ซื้อมาจากย่านสะพานเหล็ก กรุงเทพฯ แล้วนำมาติดไว้ในรถซึ่งป้าย กอ.รมน.กรุงเทพที่นำมาติดประจำตัวนั้นออกโดยนายทหารระดับ พลตรี ซึ่งได้เคยมาทำงานให้กับฝ่ายทหารในกรุงเทพมหานคร โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอม
"พ.อ.อ.ภคิน ยืนยันว่าทำคนเดียว และไม่มีผู้เกี่ยวข้อง ส่วนที่มีชาวกัมพูชามาถูกจับกุมด้วยนั้นก็ไม่ใช่บุคคลที่ติดต่อซื้อขายกันทางเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักตัวจริงและที่ส่งอาวุธสงครามก็ไม่รู้ว่าที่ไหน"พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว
รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ผู้ต้องหายอมรับสารภาพทั้งหมดจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนอกเหนือจากการครอบครองมาเป็นการค้าอาวุธสงครามเพราะจะมีการนำไปขายให้กับชนกลุ่มน้อย แต่ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะเชื่อมโยงว่านำมาใช้เกี่ยวข้องทางการเมือง
ทั้งนี้จะขอให้มีการดำเนินการแจ้งความ ทั้งร้านค้าย่านสะพานเหล็กที่ปลอมแปลงป้ายทะเบียนราชการ ส่วนการสอบสวนต่อไปเรื่องเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังหากเกี่ยวข้องกับใครก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และให้เวลาพนักงานสอบสวนดำเนินการภายใน 7 วัน
รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ไม่นำตัวผู้ต้องหาอีก 2 คนมาร่วมแถลงข่าวด้วยนั้น เพราะทั้งสองคนไม่ยอมรับสารภาพ แต่ทางคดีสามารถที่จะดำเนินคดีกับทั้งสองคนได้ โดยมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ กล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพการเดินทางทั้งในโรงแรมและบริเวณชายแดน ซึ่งพบว่า ชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามาหลายครั้ง และได้อนุญาตเข้ามาครั้งล่าสุด และจะหมดเวลาภายในเดือนมิ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม การที่ชาวกัมพูชา มีตำแหน่งเป็นข้าราชการสังกัดใดนั้น ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน ต้องมีการดำเนินการสืบสวนจากเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนก่อน เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
"การที่มีการค้าอาวุธสงครามในพื้นที่จังหวัดตราด 2-3 ครั้งนั้น ทางตำรวจยังต้องติดตาม และหาความเชื่อมโยง แต่บอกไม่ได้ว่าครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ซึ่งจะให้ พล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รอง ผบช.ภาค 2 เป็นผู้ชี้เป้า และขยายผลเพราะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่ สิ่งที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายชัดเจนในการปราบปราม ผู้มีอิทธิพลในการค้าอาวุธสงคราม ซึ่งรายนี้ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยใช้กฎหมายฟอกเงินและกฎหมายอื่น ๆ ร่วมด้วย"พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บ้านท่าเลื่อน ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสามไปทำการฝากขังที่ ศาลจังหวัดตราดต่อไป