posttoday

มุสลิมซาบซึ้งพระกรุณา องค์อัครศาสนูปถัมภก

26 ตุลาคม 2559

มัสยิดรายอกีตอ หรือ มัสยิดพระราชา เป็นชื่อที่ชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ จ.นราธิวาส ใช้เรียกมัสยิดประจำ จ.นราธิวาส

โดย...ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

มัสยิดรายอกีตอ หรือ มัสยิดพระราชา เป็นชื่อที่ชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ จ.นราธิวาส ใช้เรียกมัสยิดประจำ จ.นราธิวาส หรืออีกชื่อหนึ่งว่า มัสยิดมนารุลฮูดา ตั้งอยู่ถนนพิชิตบำรุง เชิงสะพานปรีดา ใกล้กับหาดนราทัศน์ เขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.นราธิวาส ลักษณะเป็นอาคารตึก 3 ชั้น แบบอาหรับ หลังคาทำเป็นรูปโดมๆ เดียว ยอดเป็นโดมขนาดใหญ่ มีหอสูงสำหรับส่งสัญญาณอาซาน เพื่อเรียกให้ชาวมุสลิมเข้ามาทำพิธีละหมาด โดยในสมัยโบราณจะใช้ตีกลองใหญ่แทนการใช้เครื่องเสียงเหมือนสมัยปัจจุบัน

ซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.นราธิวาส เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีกระแสพระราชดำรัสให้ทางรัฐบาลสร้างมัสยิดประจำจังหวัดขึ้นในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงมัสยิดประจำ จ.นราธิวาส ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2524 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2526 บนเนื้อที่ 10 ไร่ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 18.7 ล้านบาท และเสด็จพระราชดำเนินไปมัสยิดในปี 2527 สร้างความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรมุสลิมเป็นอย่างยิ่ง

“พระองค์ทรงทราบดีเกี่ยวกับเรื่องศาสนาอิสลาม เมื่อมุสลิมเข้าเฝ้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปฏิบัติตนตามบัญญัติของศาสนาอิสลาม นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พระองค์ท่านทรงดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน เชื่อว่ามุสลิมล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่มิรู้ลืม”

ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.นราธิวาส บอกอีกว่า พระองค์ท่านยังได้พระราชทานคัมภีร์อัลกุรอานที่แปลเป็นภาษาไทยให้กับทุกมัสยิดทั่วราชอาณาจักรด้วย ส่วนเงินเหลือจ่ายจากการก่อสร้างมัสยิดประจำ จ.นราธิวาส ได้นำไปใช้ในการก่อสร้างอาคารที่ทำการคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.นราธิวาส

อบูนูฟัยล์ มาหะ อุสตาส หรือนักบรรยายศาสนา นักวิชาการศึกษาปฏิบัติ สำนักงานการศึกษาเอกชน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ก็บอกว่า ในฐานะที่เป็นพสกนิกรชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงทั่วประเทศไทย รู้สึกเสียใจและอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยมุสลิม พระองค์ทรงให้มีการแปลความหมายของคัมภีร์อัลกุรอานจากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย ซึ่งอัลกุรอานคือธรรมนูญ พระองค์ทรงรู้ว่านี่คือธรรมนูญที่มุสลิมจะดำรงชีวิตอยู่ในแผ่นดินของพระองค์อย่างสงบสุข

มุสลิมซาบซึ้งพระกรุณา องค์อัครศาสนูปถัมภก

อบูนูฟัยล์ บอกว่า เดิมที จ.นราธิวาส มีมัสยิดกลางตั้งอยู่ที่ถนนพิชิตบำรุง ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส แต่ค่อนข้างจะคับแคบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จึงมีรับสั่งให้สร้างมัสยิดอีกหลังหนึ่ง พระองค์ท่านเข้าใจถึงคำว่ามัสยิด ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทยมุสลิม

“ที่น่าประทับใจอย่างยิ่งพระองค์สละราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างมัสยิดหลายแห่งในประเทศไทย  อีกทั้งทรงแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกปี นำมาซึ่งความปลื้มปีติอย่างหาที่สุดมิได้ของพสกนิกรชาวไทยมุสลิม”

ทั้งนี้ มัสยิดประจำ จ.นราธิวาส นอกจากจะใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังใช้ทำการเรียนการสอนของศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด หรือ ตาดีกา ซึ่งเยาวชนมุสลิมจะมาศึกษาเล่าเรียนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์ เป็นการเรียนเสริมวิชาทางศาสนา เน้นวิชาอาหรับและวิชาภาษาอังกฤษ ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 200 คน โดยเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มเติมจากที่รัฐบาลสนับสนุนเพียงเดือนละ 300 บาท/คน

“ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา มุสลิมสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ทุกพิธีกรรมในแผ่นดินนี้ สามารถที่จะละหมาด ถือศีลอด รวมถึงการไปแสวงบุญ ณ มหานครเมกกะ ชาวไทยมุสลิมนราธิวาสทุกคนมีความรักต่อพระมหากษัตริย์ พร้อมใจมุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธาน โดยใช้มัสยิดของพระราชาแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจและเรียนรู้หลักศาสนาอิสลาม เพื่อหล่อหลอมจิตใจให้เป็นคนดี ให้เป็นคนที่สามารถนำประโยชน์มาสู่ประเทศชาติต่อไป” อบูนูฟัยล์ บอกถึงความรู้สึกของพสกนิกรมุสลิมต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพรัก