posttoday

ศิษย์วัดหลวงตาบัวลุยฟ้องอุทยาน-อดีตสัตวแพทย์-รองประธานมูลนิธิ

26 มิถุนายน 2559

กาญจนบุรี - ไวยาวัจกรวัดป่าหลวงตาบัวประกาศเดินหน้าฟ้องกรมอุทยาน-อดีตสัตวแพทย์-อดีตรองประธานมูลนิธิวัด ฐานทำวัดเสียชื่อเสียง

กาญจนบุรี - ไวยาวัจกรวัดป่าหลวงตาบัวประกาศเดินหน้าฟ้องกรมอุทยาน-อดีตสัตวแพทย์-อดีตรองประธานมูลนิธิวัด ฐานทำวัดเสียชื่อเสียง

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี นายศิริ หวังบุญเกิด ลูกศิษย์วัดป่าหลวงตามหาบัวฯ และ อดีต ส.ส.กทม. กล่าวว่า พระวิสุทธิสารเถร หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นไวยาวัจกรของวัด เพื่อต่อสู้คดีเกี่ยวกับการที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำกำลังเจ้าหน้าที่มาขนย้ายเสือโคร่งของกลาง จำนวน 147 ตัว ออกไปจากวัดแล้วนำไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้างและสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้

หลังจากที่กรมอุทยานฯ ขนย้ายเสือไปหมดแล้ว ก็ไม่ได้เข้ามาขนย้ายสัตว์ของกลางชนิดอื่นๆ ที่ฝากให้ทางวัดเลี้ยงดูแลเอาไว้ออกไปด้วย และไม่เคยเข้ามาดูแลอีกเลย วัดจึงไม่มีรายได้ที่จะนำเงินไปซื้ออาหารมาให้สัตว์ที่ยังคงเหลืออยู่ เช่น เก้ง กวาง ม้า ละมั่ง หมูป่า รวมทั้งวัวและควาย ซึ่งมีมากกว่า 3,000 ตัว ภาระจึงตกอยู่ที่วัด ทั้งๆ ที่กรมอุทยานฯ ไม่อยากให้ทางวัดเลี้ยงสัตว์ แต่กลับทิ้งสัตว์เหล่านี้ให้ทางวัดรับผิดชอบ

หลังจากนี้ทางวัดจำเป็นจะต้องขอรับการสนับสนุนเงินจากผู้มีจิตศรัทธาและผู้ที่รักความเป็นธรรมเพื่อดำเนินการฟ้องร้องขอความเป็นธรรมกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับทางวัด โดยจะดำเนินการฟ้องร้องกรมอุทยานฯ และอดีตเจ้าหน้าที่ของวัดที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก อดีตนายสัตวแพทย์ผู้ดูแลเสือของกลาง พร้อมพวกรวม 4 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารต่างๆ และ กลุ่มที่สอง อดีตรองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตาบัว

"ที่ผ่านมากลุ่มบุคคลทั้งสองกลุ่มพยายามโยนความผิดให้กับ พระวิสุทธิสารเถร เพียงคนเดียว สาเหตุเพราะเกิดความขัดแย้งเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์กันระหว่างกลุ่มบุคคลทั้งสองกลุ่ม บุคคลกลุ่มหนึ่งต้องการผลประโยชน์จากองค์กรเกี่ยวกับสัตว์ป่าของต่างประเทศ ซึ่งองค์กรดังกล่าวระบุว่าจะให้เงินสนับสนุนเป็นจำนวนมาก เพื่อบริหารการจัดการสวนเสือในประเทศไทยให้ดีขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งแย่งชิงผลประโยชน์ เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับทางวัดอย่างร้ายแรง ดังนั้นจะไม่ปล่อยให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ใส่ร้ายป้ายสีวัดเพียงฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน โดยจะพิสูจน์กันในชั้นศาลว่าวัดแห่งนี้เป็นซ่องโจร และเป็นแหล่งค้าเสือข้ามชาติตามที่ถูกหล่าวหาจริงหรือไม่"นายศิริกล่าว

กรณีที่อดีตนายสัตวแพทย์ผู้ดูแลเสือของกลาง  ให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางวัด ตนขอชี้แจงว่า นายสัตวแพทย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางวัดอย่างแน่นอน เพราะระบุว่าเป็นจิตอาสาเข้ามาดูแลเสือของกลางตั้งแต่ต้น แต่ไม่ทราบว่าเป็นจิตอาสาประเภทใด เนื่องจากรับเงินจากวัดสัปดาห์ละ 6,000 บาท มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามขอชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า การจ้องทำลายชื่อเสียงของวัดทำกันเป็นขบวนการ โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่างบุคคลที่อยู่ในวัดและหน่วยงานภาครัฐ ที่วางแผนกันอย่างแยบยลในการปล้นเสือออกไปจากวัดในครั้งนี้ ซึ่งจะนำข้อมูลหลักฐานที่กำลังรวบรวมอยู่ออกมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะๆ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริง

ส่วนเรื่องการฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ และกลุ่มบุคคลที่เคยอยู่ในวัดทั้งสองกลุ่ม หากศาลตัดสินว่าทางวัดผิด ก็ขอให้พิจารณาลงโทษให้สมกับความผิด แต่หากศาลตัดสินว่าวัดไม่ผิดก็ขอให้ลงโทษหน่วยงานรัฐและกลุ่มบุคคลให้หนักด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย