posttoday

ร้องคดีคนร้ายข่มขืนหนูน้อย 9 ขวบ

24 กรกฎาคม 2553

ร้องตำรวจแปดริ้ว คดีคนร้ายข่มขื่นหนูน้อยวัย 9 ขวบเชื่องช้า

ร้องตำรวจแปดริ้ว คดีคนร้ายข่มขื่นหนูน้อยวัย 9 ขวบเชื่องช้า

ได้รับแจ้งพลเมืองดีชาวบ้าน  หมู่ที่ 8   ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต  จ.ฉะเชิงเทรา ว่า มีเด็ก นักเรียนหญิงชั้น ป.3 ของโรงเรียนวัดชำป่างาม   ถูกคนร้ายล่อลวงไปข่มขืนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.สนามชัยเขตถึง 3 วัน โดยแพทย์ต้องเย็บภายในอวัยวะเพศถึง 15 เข็ม    เหตุเกิดที่บริเวณป่ายูคาลิฟตัส หมู่ที่ 3  บ้านนา ต.ท่ากระดาน  เมื่อวัน 21 พ.ย. 2552   หลังเกิดเหตุผู้ปกครองได้นำความเข้าแจ้งกับตำรวจ  สภ.สนามชัยเขตแล้ว  จนถึงขณะนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า  แม้จะพอทราบเบาะแสว่า  คนร้ายที่ก่อเหตุเป็นวัยรุ่นที่อยู่ในหมู่บ้านชำป่างาม ก็ตาม   จึงร้องขอให้สื่อมวลชนช่วยติดตามคดีกับตำรวจเพื่อเร่งสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีและช่วยประสานงานกับมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อให้ความช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย 

หลังรับแจ้ง ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า บ้านพักของครอบครัวเด็กหญิงเคราะห์ร้ายรายนี้ อยู่ห่างจากตลาดชำป่างามประมาณ 2 กม. ทางเข้าบ้านเป็นซอยลึกเข้าไปห่างจากถนนสายชำป่างาม –  บ้านนายาว  ประมาณ  300 เมตร  เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ   สภาพเก่า หลังคาและฝาบ้านมุงด้วยสังกะสี  ตั้งอยู่เลขที่  245  หมู่ที่ 8   ต.ท่ากระดาน     พบว่าสมาชิกทั้ง 3 คน อยู่บ้านกันพร้อมหน้า โดยมารดาของเด็กกำลังซักผ้าอยู่ข้างบ้าน บิดา กำลังเลี้ยงไก่อยู่ในเล้า ส่วนเด็กหญิงเคราะห็ร้าย กำลังเล่นกับเจ้าหมีสุนัขเพศผู้สีดำอยู่กลางลานบ้านอย่างไร้เดียงสา 

นายสำลวน   ทิพวัน อายุ  52 ปี  และ นางสำรวย   อุ่นติ้ว  อายุ 44 ปี   เจ้าของบ้าน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นสามีภรรยากันที่ไม่ได้จดทะเบียน  อยู่กินกันมานานประมาณ  10 ปี  มีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่แน่นอน  ฐานะยากจน   มีบุตรสาว 1 คน    พร้อมกับชี้มือไปที่เด็กหญิงที่กำลังเล่นกับสุนัขพร้อมลำดับเหตุการณ์ให้ผู้สื่อข่าวฟัง ว่า “ลูกหว้า” เป็นบุตรสาวคนเดียวชื่อจริง ด.ญ.สุดารัตน์  ทิพวัน  อายุ  9 ขวบ  เรียนอยู่ชั้น ป. 3 โรงเรียนวัดชำป่างาม   

นางสำรวย  เล่าว่า ในวันเกิดเหตุช่วงเช้าของวันที่ 21 พฤศจิกายน ตนเอง  พร้อมด้วยนายสำลวน  ทิพวัน  สามี  ออกไปรับจ้างเกี่ยวข้าวในนาของเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักประมาณ   1 กม. โดยมีบุตรสาวและเจ้าหมี สุนัขเพศผู้สีดำ ออกไปที่แปลงนาด้วย ตนเองและสามีเกี่ยวข้าวไปตามปกติ ส่วนบุตรสาวก็วิ่งเล่นกับเจ้าหมี ตามประสาเด็ก กระทั่งเวลาประมาณ 12.30  น. ลูกหว้า บุตรสาวบอกว่าจะขอกลับบ้านเพื่อไปล้างจาน ซักผ้า จึงอนุญาต โดยให้บุตรสาว ขี่รถจักรยานกลับไป โดยเจ้าหมี วิ่งไล่ตามไปติด ๆ  หลังจากนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร   ตนเองและสามีก็เกี่ยวข้าวไปตามปกติ

จนกระทั่งเวลาประมาณ 14.30 น. บุตรสาวตนเองจูงจักรยานเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาที่แปลงนาข้าวและร้องบอกว่า”พ่อ .. แม่ .. ช่วยหนูด้วย หนู ถูกข่มขืน “ ตนเองจึงตอบเชิงดุกลับไปว่า”นี่ ทำไม อย่าล้อเล่น พูดจาเหลวไหล ไม่ดีนะลูก “ แต่ลูกก็พูดยืนยันว่า” หนูถูกข่มขืนจริง ๆ แม่ ช่วยหนูด้วย หนูเจ็บ จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว  “ ตนจึงสังเกตุที่หว่างขาของลูก พบเลือดแดงฉานไหลเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด  รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก  ตั้งสติได้ จึงร้องตะโกนให้สามีรีบมาดู พร้อมกับบอกว่า ให้รีบพาลูกไปโรงพยาบาล 
อย่างไรก็ตามสามีได้สอบถามเรื่องราวเบื้องต้นจากลูก  พร้อมกับให้ลูกพาไปดูที่เกิดเหตุ โดยสามีได้อุ้มลูกขึ้นบ่าแบก พากันซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ไปดูที่เกิดเหตุ  จากนั้น จึงรีบพาลูกกลับบ้าน  ก่อนที่จะร้องขอให้เพื่อนบ้านช่วยขับรถพาลูกไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.สนามชัยเขต ก่อนที่จะพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสนามชัยเขตและต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นาน 3 วัน         

“ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามชัยเขต  เรียกตนเองไปและบอกว่า เด็กได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระทำทางเพศ สาหัส  ต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน ผู้ปกครอง ต้องเซ็นรับรองด้วย ตนเขียนหนังสือไม่เป็น จึงต้องใช้พิมพ์หัวแม่มือแทน   ก็รีบจัดการตามที่หมอบอก   ตอนหลังหมอบอกว่า เด็กเสียเลือดมาก  อวัยวะภายในช่องคลอดฉีดขาด ต้องเย็บ 2 ชั้น รวม 15 เข็ม  ตนเองรู้สึกช็อค   สงสารลูกมาก แต้รู้ว่าลูกอาการปลอดภัยแล้ว ก็รู้สึกดีใจ ตนและสามีนอนเฝ้าลูกที่โรงพยาบาลสนามชัยเขต 3 คืน “นางสำรวย  เล่าทั้งน้ำตาอาบแก้ม 

ทั้งนี้ โดยปกติลูกสาว จะเป็นเด็กร่าเริง  ช่างพูด  ช่างคุย  ชอบอ่านหนังสือ  ว่างๆ  ชอบขี่รถจักรยานเล่นกับเพื่อน ๆในหมู่บ้าน  บางครั้งเล่นกับเจ้าหมี สุนัขสีดำ เพศผู้อายุ  1 ปีเศษ อยู่กับบ้าน เวลาไปรับจ้างเกี่ยวข้าว ถ้าหยุดเรียน ก็ไปด้วย  แต่หลังจากเกิดเหตุ ลูกสาวตนเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะสภาพจิตใจ บางครั้งเวลานั่งเฉย ๆ  ซึมเศร้า ไม่พูดไม่จากับพ่อแม่เหมือนปกติ  ไม่เล่นหัวกับเจ้าหมี   

นอกจากนี้ บางครั้งนึกจะร้องเพลงขันมาก็ร้อง   กลางคืนก็นอนผวา  ดึก ๆ บางคืนก็ตื่นมาร้องไห้  ตนเองสงสารลูกเหลือเกิน  อยากให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาช่วยเหลือ ตนเองคนยากคนจนไมรู้จะไปทำอย่างไร    อยากจะให้ศูนย์ปวีณา มาช่วยเหลือด้วย คนแบบนี้ไม่น่าเอาไว้ ช่วยมาเอาตัวไปลงโทษ   อยากให้ลูกของตนเป็นเด็กเคราะห์ร้ายคนสุดท้าย  เพราะถ้าปล่อยไว้มันอาจจะไปก่อกรรมทำเข็ญกับเด็กคนอื่น ๆได้

ขณะที่ลูกสาวนางสำรวย กล่าวว่า  หลังจากที่บอกพ่อกับแม่ว่าจะกลับบ้านไปซักผ่า ล้างจาน ก็ขี่รถจักรยานออกมา โดยมีเจ้าหมีวิ่งไล่ตามมาด้วย เมื่อมาถึงปากซอยตัดถนนสายชำป่างาม – อ่างระบม   พบชายวัยรุ่น อายุ ประมาณ  17 – 18   ปี รูปร่างผอม สูงประมาณ 170 ซม. ผิวเนื้อดำแดง ทรงผมสั้นสีออกแดง   สวมเสื้อยืดสีขาว  กางเกงยีนส์สี้น้ำเงิน  ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ   สีเทา-ดำ    จำหมายเลขทะเบียนไม่ได้   มาจากบ้านชำป่างาม   พร้อมกับจอดถามว่า  อ่างเก็บน้ำคลองระบม  ไปทางไหน  จึงแนะนำไปว่า อยู่ห่างไปประมาณ 10   กม.  ให้ขับรถตรงไปเรื่อย ๆ   ขึ้นเชิงเขาก็ขึ้นไป จะมีป้ายบอกตลอดทาง จะถึงอ่างเก็บน้ำระบมเอง  

แต่ชายวัยรุ่นคนนั้น ก็บอกว่า ให้ช่วยพาไปหน่อย เพราะไม่เคยมา ไปไม่ถูก  กลัวหลงทาง  ถ้าพาไปจะให้ค่าจ้าง 50 บาท   ตนเองก็ตอบไปว่า ไปไม่ได้  ขี่รถจักรยานมา  ชายคนนั้นก็ควักเงิน 50 บาทให้  แล้วบอกว่า ให้ขี่จักรยานตามมา  แล้วขับนำทางไปตามถนนราดยางสายชำป่างาม  -   อ่างระบม  ราว 50 เมตร  ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเข้าซอยถนนลูกรัง  ลึกประมาณ 100 เมตร และสั่งให้จอดรถจักรยานทิ้งไว้ริมทาง  จากนั้นได้เลี้ยวรถกลับและสั่งให้ตนเองนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากซอย    ขึ้นถนนราดยางขับมุ่งหน้าไปทางอ่างเก็บน้ำคลองระบม โดยตลอดระยะเวลา มีเจ้าหมี สุนัขเพื่อนยาก ได้วิ่งติดตามไปตลอดทาง เมื่อคนร้ายสังเกตเห็นมีเจ้าหมี สุนัขของตนเองวิ่งติดตามตลอด   จึงพยายามเร่งความเร็วเครื่องขับหลบหนี จนกระทั่งเจ้าหมี วิ่งไล่ตามไม่ทัน 

หนูน้อยเคราะห์ร้าย กล่าวอีกว่า   เมื่อชายคนดังกล่าวขับรถจักรยานยนต์มาได้ประมาณ  8  กม.   ถึงปากทางเข้าบ้านสุขเจริญ หรือซอยหมวดวิโรจน์   คนร้ายก็ชะลอรถพร้อมกับขับเลี้ยวขวาเข้าซอยซึ่งสองข้างทางเป็นป่ายูคาลิฟตัส    ตนเองก็ร้องบอกไปว่า ผิดทางแล้ว  อ่างระบม ไม่ได้ไปทางนี้   แต่คนร้ายก็ร้องบอกว่า ไม่ได้ไปแล้ว อ่างระบม จะไปวัดท้าวอู่ไท  ในซอยนี้มีทางลัดไปได้   เมื่อขับรถเข้าซอยไปได้ประมาณ  1 กม.เศษ  คนร้ายก็จอดรถ แล้วหันมาบอกว่า หยุดพักเดี๋ยวและสั่งให้ตนลงจากรถ จะกลับรถ หลังจากที่คนร้ายกลับรถแล้ว ก็ฉุดกระชากตนเองลงข้างทาง  ชักปืนออกมาจี้ที่ศีรษะ  พร้อมกับบอกให้ถอดเสื้อผ้าออก  แต่ตนเองไม่ยอมและแกล้งออกอุบายไปว่า ปวดท้องอึ  คนร้ายก็เชื่อ อาศัยจังหวะพยายามวิ่งหนี แต่ถูกคนร้ายจับตัวได้   กระชากผมดึงหงายหลัง คนร้ายใช้กำปั้นชกที่ท้อง 2 - 3 ครั้ง  รู้สึกจุกจนตัวงอ หายใจไม่ออก  จากนั้นก็อุ้มตนเองขึ้นไปบนเนินดินข้างทาง จัดการถอดเสื้อผ้าแล้วลงมือข่มขืน  

นายสำลวน   กล่าวว่า  หลังจากที่พบสภาพของลูก รู้สึกสงสาร   มันทำได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางสู้  ครอบครัวตนเองยากจน หาเช้ากินค่ำ  ไม่มีปัญญาที่จะไปทำอะไรกับใคร ไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อขอความเป็นธรรมและติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ ทั้ง ๆที่ หลักฐานต่างๆ ที่ได้ให้ข้อมูลไป เช่น   รถจักรยานยนต์ของคนร้าย   ภาพถ่ายของน้องเบล เด็กหญิงที่คนร้ายเอามาข่มขู่ลูกให้ไปพาตัวมา ก็พอรู้แล้วว่า รูปถ่ายนั้น น้องเบลเคยให้เพื่อนคนไหนไปบ้าง     มีการสะเก็ตภาพคนร้ายแล้ว   แต่ไม่มีอะไรคืบหน้าในการจับกุม   ตำรวจอ้างว่า  ต้องให้ผู้ปกครองไปนำรายละเอียดชื่อจริง นามสกุลจริง ของคนร้ายมาให้ตำรวจ  ถึงจะขออนุญาตศาลออกหมายจับคนร้ายได้     ผมกับเมีย   จะเอาอะไร  ไปหารายละเอียดที่ไหนมาให้ได้   ตำรวจทำไมไม่ทำงานสืบสวนหาข่าวเบาะแสคนร้ายเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว 

ขณะที่  พ.ต.ท.ยุทธนา  บุญเต็ม   พนักงานสอบสวน สบ.3  สภ.สนามชัยเขต   เจ้าของคดี กล่าวว่า  พอทราบว่า คนร้ายอยู่ในย่านวังคู   ต.ทุ่งพระยา  อ.สนามชัยเขต  ตอนนี้ ได้สะเก็ตภาพคนร้ายแล้ว และกำลังตรวจสอบเจ้าของรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายนำไปก่อเหตุว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ ได้ให้รถใครยืมไป รวมทั้งภาพถ่ายของเด็กหญิงชื่อเบล ที่คนร้ายนำเอาไปข่มขู่เด็ก ว่าให้ใครไปบ้าง การที่ตำรวจจะเข้าไปสืบสวนหาข่าวคนร้ายในพื้นที่เอง  ก็เกรงว่า คนร้ายจะไหวตัว จึงให้ผู้เสียหายกับญาติพยายามหาชื่อ  ชื่อสกุล คนร้ายมาแจ้งทราบ จากนั้นก็จะรวบรวมหลักฐานขอศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ออกหมายจับคนร้ายต่อไป 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด ครอบครัวของเด็กหญิงสุดารัตน์ หรือ ลูกหว้า  ทิพวัน อยู่ในอาการหวาดผวา   เนื่องจากเกรงว่า คนร้ายจะตามไปฆ่าทิ้งเพื่อปิดปากยกครัว  จึงพยายามปกปิดหลบหนีไปอาศัยหลับนอนอยู่ตามบ้านญาติ   เพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัยเพราะรู้ข้อมูลมาบางส่วนของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ ว่า เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ค้าและเสพติดยาเสพติด  ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตตำบลท่ากระดาน อำเภอสนามชัยเขต และไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง แม้กระทั่งตำรวจในพื้นที่