"ทางม้าลาย"ใครๆก็ไม่สนใจ
ปัญหาสำคัญของการใช้รถ-ถนนของคนไทยคือการยึดตัวเองเป็นหลักและมองว่าทำไมคนอื่นทำได้ เราจะทำไม่ได้
โดย...นรินทร์ ใจหวัง
รู้สึกอย่างไร เมื่อต้องข้ามถนนในเมืองแต่ละที ไม่ค่อยมีรถหยุดให้ กระทั่งยอมเสี่ยงเดินไปกลางถนน บางครั้งก็ต้องชักเท้ากลับ หรือพอข้ามได้แต่ละครั้งคนเดินถนนต้องเป็นฝ่ายพยักหน้าขอบคุณ ทั้งทีบางครั้งเราก็ข้ามบนทางม้าลายด้วยซ้ำ
"จับปรับไม่ข้ามทางม้าลาย แก้ปัญหาคนเดินข้าม ตัดกระแสรถ ในจุดห้าม" เป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาคนเดินข้ามถนนในจุดห้าม ซึ่งก็ถือเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของคนใช้ถนน ที่คนเดินเท้าต้องทำ เพื่อลดอุบัติเหตุและเพื่อระบายรถที่มีเยอะในเมืองใหญ่ให้ไปได้เร็วขึ้น ทว่าทำไมปัญหาการใช้รถใช้ถนนของคนไทยจึงแก้ไม่ตกเสียที่
จากข้อมูลของสำนักกลุ่มงานจัดระบบจราจร สำนัการจราจรการขนส่ง(สจส.) กรุงเทพมหานคร ระบุว่าจำนวนสะพานลอยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เมื่อปี2556มีอยู่ 816 แห่ง ส่วนทางข้ามม้าลาย สำรวจเมื่อปี2553 มีทั้งหมดจำนวน1,112 แห่ง และแน่นอนที่ไม่ใช่ทุกแห่งที่มีสัญญาณไฟให้คนต้องการข้าม กดเพื่อขอทาง ส่วนที่มีสัญญาณไฟบ้างก็ชำรุด ใช้การไม่ได้
จอห์น วิญญ วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกรคนดัง เชื่อว่าปัญหาสำคัญของการใช้รถ-ถนนของคนไทยคือการยึดตัวเองเป็นหลักและมองว่าทำไมคนอื่นทำได้ เราจะทำไม่ได้บ้าง
“หลายครั้งที่ผมเห็นคนพูดเเล้วอ้างกันมากว่ารีบ จนต้องปาดหน้าคนอื่นเขา หรือรีบมากต้องขับฝ่าทางข้าม โดยว่าคนอื่นว่าไม่มีน้ำใจ เพราะเรารีบอยู่ ไม่มีคนข้ามถนน จะจอดอยู่นิ่งๆ ทำไม
ส่วนคนข้ามถนนเองก็มีปีญหาเหมือนกันครับ หลายครั้งที่ทางม้าลาย สะพานลอยอยู่ตรงหน้า ก็ยังเดินตัดถนน โดยอ้างว่ามันไกลเกิน ต้องเดินย้อนไปก็ไม่ใช่เรื่อง ขี้เกียจ เห็นใจกันบ้างซิ เเดดร้อนนะ ฝนตกอยู่ อะไรอย่างเนี่ย แล้วก็โทษกันว่าคนนั้นคนนี้ไม่รักษากฎ หนักกว่านั้นคนที่บ่นพูดว่าสังคมฟอนเฟะ สังคมแย่จังเลย อย่าลืมว่าคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดปัญหา ถ้าเราไม่หัดเเก้ไข ยอมที่จะลำบากในการทำให้มันถูกต้องเสียทีมันก็ไม่เกิดนะครับ
ถ้าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ยังห้ามไม่ได้ ปัญหาใหญ่ๆ เช่นตอนนี้คนบ่นถึงประชาธิปไตย ผมมองว่าปัญหาของคนไทยคือไม่หัดรอ รอไม่ได้ เเล้วจะมาบ่น ถ้าอยากแก้ปัญหาจริงๆ ก็ต้องลงมือทำอย่าสักเเต่พูดครับ"
ขณะที่ สุหฤท สยามวาลา นักธุรกิจและอดีตผู้ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มองว่า คนขับรถมักรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิที่ต้องได้ไปก่อน คนข้ามถนนเสมือนเป็นคนชั้น2 คือมีหน้าที่ต้องรอ
“บางท่านรู้สึกว่าเขามีสิทธิจะต้องไปก่อน คนข้ามถนนจะต้องรอ แต่สิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่คนขับจะต้องได้ไปก่อนนะครับ เรื่องนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง คนขับรถต้องคิดว่าพอเห็นคนยืนทางม้าลาย ต้องให้คนข้ามไปก่อนแค่นั้นเอง แต่แค่ตอนนี้มันตรงกันข้ามกันอยู่ เราก็ต้องปรับแค่นั้น
ขอให้ช่วยกัน ทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ อย่างไรมันก็บ้านเมืองเรา เอื้อเฟื้อกันและกัน หยุดให้เขาไปก่อน คนข้ามทางม้าลายก็รู้สึกว่า ปลอดภัย ก็จะพยายามข้ามทางม้าลายหรือที่ที่จัดไว้ให้ ทุกคนจะรู้สึกว่ามันมีระบบระเบียบมากขึ้น ชีวิตเราก็จะมีความสุขมากขึ้นด้วยตัวมันเอง
แต่ต้องขออย่างหนึ่ง พวกเราเนี่ย เวลาจะเปลี่ยนอะไรอย่างหนึ่ง มักคิดก่อนว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คนไทยเนี่ยคือตัวบั่นทอนทุกอย่างหมด ถ้าจะเปลี่ยนไม่ได้ก็ช่างหัวมัน อีกปีก็เอาใหม่ ไม่ได้อีก5ปี ก็เอาอีก เรื่องง่ายๆ แค่นี้จะทำไม่ได้เลยเหรอ แต่ผมเชื่อว่าสังคมมันก็จะเปลี่ยนไป พอคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาก็อาจเปลี่ยนได้ แต่อย่าไปตั้งป้อมก่อนว่าจะไม่มีทางเกิด”
ขณะที่คนธรรมดาที่ใช้รถอย่าง มารวย วิศิษฐ์ศรี พนักงานบริษัทเอกชน มองว่าการไม่จอดรถให้คนข้ามถนนเป็นเรื่องที่คนไทยควรได้รับการปรับปรุงทัศนคติเสียใหม่
“ผมไม่เคยมองว่าคนข้ามถนนจะทำให้เกิดความรำคาญกับคนขับรถเลย เพราะผมจอดให้ข้ามก่อนตลอด และมองกลับกันผมว่าคนที่ไม่จอดรถให้คนข้ามถนนก่อนเห็นแก่ตัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาข้ามตรงทางม้าลาย คือไม่เข้าใจคุณจะรีบไปไหนมากเหรอครับ ถ้าไม่เริ่ม ถ้าคิดว่าคนอื่นทำได้ ฉันก็ทำได้อยู่อย่างนี้ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยครับ ผมจึงเริ่มที่ตัวเองก่อน ”มารวยกล่าวอย่างมีความหวัง
ส่วนในมุมของคนเดินถนนคนหนึ่งอย่าง เอกรัชต์ ม่วงสกุล อดีตนักศึกษาจากประเทศออสเตรเลียบอกว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถหาใครว่าเป็นคนถูกหรือผิดได้ แต่ต้องต้องใช้การปลูกฝังให้คนไทยพยายามปรับตัว เพราะว่าปัญหาการจราจรของไทยมีหลายอย่าง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีการรณรงค์เหมือนตอนนี้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เอาจริงเอาจังกับการกวดขัน จับจริง ปรับจริง เช่นเดียวกันเรื่องภูมิทัศน์ก็ต้องเตรียมให้พร้อมด้วย เช่นไฟสัญญาณขอข้ามถนน เลนจักรยาน เลนรถโดยสารประจำทาง
ด้าน พ.ต.อ.วีระวิทย์ วัจนะพุกกะ ผกก.1 (สายตรวจ) บก.จร มองว่าคนที่ใช้ถนนหรือผู้ข้ามเอง ควรมีวินัยมากกว่านี้ เพราะหลายครั้งจะเห็นว่าคนไทยมักไม่ค่อยสนใจทางข้ามม้าลายมากนัก แต่อยากข้ามถนนในทุกที่ตามอำเภอใจตัวเอง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รถติดสะสม
“อันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมผู้ใช้ ผูัขับขี่ กับคนเดินเท้า บ่อยครั้งเห็นว่า มีทางข้ามม้าลายแต่คนนึกจะข้ามตรงนี้เลย เพราะทางม้าลายต้องเดินไปอีก 10 -20 เมตร ก็เห็นว่าทำแบบนี้สะดวกดีกว่า ไม่ได้มองว่ามีความจำเป็น บางครั้งมองว่ารถกำลังติดอยู่ ก็ข้ามซะตรงนั้นเลย แต่ลืมนึกไปว่าในถนน นอกจากมีรถยนต์ที่ติดอยู่เเล้ว ก็ยังมีรถมอเตอร์ไซต์อีก เขาซอกแซกๆ ฉะนั้นการไม่ปรับตัวฝึกให้เดินข้าม ณ จุดที่เขาไว้ให้ เสียใหม่ ก็เป็นเหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสทำร้ายตัวเอง เกิดโอกาสเสี่ยงมากขึ้น
ตรงนี้ทำให้เห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ทางข้ามอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน ถ้าเริ่มทุกคน เคารพกฏทั้งผู้เดินเท้าและขับขี่ ต่างมีวินัยทั้งคู่ มันก็ลดปัญหาแน่นอน
นอกจากนี้ เรายังมองได้เป็น 2 มุม หลายกรณีคนขับเองก็เกิดอันตราย เพราะเห็นคนข้ามมากระทันหัน เเล้วตกใจ เกิดอุบัติเหตุ คนข้ามเองก่อให้เกิดปัญหาแก่คนขับก็มีเช่นกัน จุดที่อันตรายก็ยังไปข้าม บางช่วงเขาลวดสลิงไปกั้นกลางถนนคนก็ยังแอบไปตัดเพราะมันง่ายต่อการเดินข้าม รถที่่ใช้ทางมาปกติ ไม่ได้ประมาท ก็ชนเข้าได้
ส่วนเรื่องการดำเนินคดีมันไม่ใช่จะเอาผิดกับคนขับรถเท่านั้น ถ้าคนขับเขาขับมาดี ๆ คนกระโดดให้ชนเข้า คนขับเขาไม่ได้ผิด เพราะเขาไประมาท หรือต้องดูตาม ทางเอก-โท หลักของการจราจรของรถวิ่งมา ถ้าเขาไม่ได้ประมาทเราอาจบาดเจ็บฟรี เมื่อพิสูจน์เเล้วว่าเราประมาทเอง”พ.ต.อ.วีระวิทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตามข้อมกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ก็มีการเอาผิดทั้งคนที่ข้ามถนนและผู้ขับขี่รถที่ประพฤติผิด ดังนี้ พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 104 ระบุห้ามคนเดินเท้าข้ามทาง นอกทางข้าม โดยทีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท ส่วนคนขับที่ไม่ลดความเร็ว เมื่อถึงทางข้ามปรับไม่เกิน 500 บาท
สำหรับคนที่กังวลว่าเมื่อข้ามถนนตรงทางม้าลายแล้วโดนชน กฏหมายยังระบุว่า หากใครขับรถชนคนข้ามจนได้รับบาดเจ็บ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือหากชนคนเสียชีวิต ผู้ขับต้องโดนข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี โดยยังไม่รวมค่าเสียหายในทางแพ่งด้วย
ส่วนคนข้ามถนนนั้น ในมาตรา 104 ยังระบุไว้ว่า ภายในระยะไม่เกิน 100 เมตร นับจากทางข้าม ห้ามมิให้คนเดินเท่าข้ามทางนอกทางข้าม นั่นหมายความว่า หากมีทางม้าลายหรือสะพานลอยในระยะ 100 เมตรจากจุดที่จะข้าม เราจำเป็นต้องเดินไปข้ามยังทางม้าลายนั้นๆด้วย


