เอกชนตรังจี้รัฐบาลแก้ค่าบาทแข็ง
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง จี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งสินค้าภาคการเกษตรใต้มีราคาตกต่ำ
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง จี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งสินค้าภาคการเกษตรใต้มีราคาตกต่ำ
นายวิถี สุพิทักษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า จากสภาวะค่าเงินบาทของประเทศไทยที่แข็งตัวขึ้นอย่างมากนั้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าภาคการเกษตร โดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งมีการปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน พืชเศรษฐกิจสำคัญเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 300 บาท นับตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ สูงขึ้นมาก จึงจำเป็นต้องรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรกรในราคาที่ต่ำลง เพื่อที่จะสามารถประคับประคองกิจการให้อยู่ต่อไปได้ แต่ได้สร้างความเดือดร้อนมาถึงเกษตรกร เพราะมีรายได้ลดลงอย่างมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากล่าสุดราคายางพารา ได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละ 65-70 บาท จากที่เคยมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 105-110 บาท เมื่อปี 2555 ส่วนไม้ยางพารา มีราคาปรับตัวลดลงเหลือเพียงไร่ละ 2-4 หมื่นบาท จากที่เคยมีราคาสูงถึงไร่ละ 5 หมื่นบาท เมื่อปี 2555 และปาล์มน้ำมัน ก็มีราคาปรับตัวลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละ 3-4 บาท จากที่เคยมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 5-6 บาท เมื่อปี 2555 ซึ่งจากการคาดการณ์เชื่อว่า สภาวะค่าเงินบาทจะไม่กลับมาอ่อนตัวอีกแล้ว ทำให้ราคาสินค้าทางการเกษตรยังคงตกต่ำเช่นนี้ ดังนั้น ผู้ประกอบการส่งออก และเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ จะต้องรีบเร่งทำการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์
ขณะเดียวกัน ภาครัฐบาลจะต้องออกมาตรการ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เป็นการช่วยเหลือประชาชนมิให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ แต่จะต้องดำเนินการด้วยความจริงใจและยั่งยืน เช่น การส่งเสริมให้นำสินค้าภาคการเกษตรมาใช้ประโยชน์ภายในประเทศมากขึ้น หรือการลดภาษี ส่วนการประกันราคา หรือการแทรกแซงราคา ควรทำแค่ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น พร้อมทั้งเข้าไปดูแลกล้าพันธุ์ และปุ๋ย ที่ใช้สำหรับยางพารา และปาล์มน้ำมัน ให้มีราคาถูกลง อย่างไรก็ตาม เฉพาะยางพารา และไม้ยางพารา ยังพอมีลู่ทางส่งออกได้ดี โดยเฉพาะในประเทศจีน หลังจากเริ่มจะมีคำสั่งซื้อเข้ามา แม้ต้องเจอกับสภาวะค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นอย่างมากก็ตาม