posttoday

หวั่นเสื้อแดงระดมพลังมวลชนทั่วประเทศ

28 กุมภาพันธ์ 2553

นักวิชาการโคราช วอนรัฐเร่งชี้แจงเหตุผลการยึดทรัพย์สู่ระดับรากหญ้า

นักวิชาการโคราช วอนรัฐเร่งชี้แจงเหตุผลการยึดทรัพย์สู่ระดับรากหญ้า

นายอดิศร เนาวนนท์  นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวถึงกรณีที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญา ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท นั้นตนเชื่อว่าศาลได้ใช้แนวทางที่สามรถสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมืองได้อีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งได้ใช้หลักทางด้านกฎหมายและหลักทางรัฐศาสตร์เข้ามาช่วยในการพิจารณา ซึ่งการที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณฯมาเป็นของรัฐนั้น ศาลทรงให้ความเป็นธรรมกับอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว คือการที่ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์ที่หามาได้ก่อนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนเชื่อว่าการที่ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ในบางส่วนนั้นไม่สามารถช่วยความขัดแย้งทางการเมืองลงได้แน่นอน เพราะพ.ต.ท.ทักษิณฯและกลุ่มคนเสื้อแดงยังไม่พอใจในการตัดสินของศาล แต่ประชาชนบางก็พอใจกับคำตัดสินของศาล

สิ่งที่น่าห่วงสำหรับประเทศชาติในขณะนี้คือ จะมีการนำวาทกรรมของการตัดสินคดีในครั้งนี้ นำไปใช้เพื่อเป็นการตัดตอนเพื่อประโยชน์ของแต่ละบุคคล คือกลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้วาทกรรมในของคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นคำที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นผู้ถูกกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะในการตัดสินนั้นได้มีการระบุถึงราคาค้าหุ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณฯครอบครอง และได้มีเสียงมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทำไมถึงไม่ไปยึดคนอื่น ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงและ  พ.ต.ท.ทักษิณฯหยิบยกขึ้นมาพูดเพราะทางศาลไม่ได้อธิบายว่าทรัพย์สินที่ได้มานั้นมีความมิชอบอย่างไรและแตกจากทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างใด  ซึ่งอีกฝ่ายยังคงสงสัยว่าทำไมศาลสั่งเพียงแต่ยึดทรัพย์แต่ไม่ได้พิจารณาถึงความเสียหายต่อภาครัฐ เพราะศาลได้พิจารณาแล้วว่าได้สร้างความเสียหายต่อภาครัฐมีในคำพิพากษาอย่างชัดเจน ซึ่งค่าเสียหายที่มีต่อภาครัฐมากกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท

สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในขณะนี้ ได้มีการเปลี่ยนประเด็นคือการเรียกร้องประชาธิปไตย โดยพยายามที่จะสลับการคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เห็นได้ชัดคือวันที่ 26 ก.พ.53 ที่แกนนำบอกว่าจะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อกดดันศาลในการตัดสินคดียึดทรัพย์ เพื่อจะหยิบยกประเด็นเรื่องของคำพิพากษาที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น 2 มาตรฐาน และกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีการระดมพลังมวลชนเพื่อกดดันรัฐบาลแน่นอน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องระมัดระวังให้มากกว่าเดิม