posttoday

สบส.ตรวจ2คลินิกกลางกรุงโยงหนุ่มหิ้วถังอสุจิไปลาว

21 เมษายน 2560

สบส.ลงตรวจ 2 คลินิกย่านเพลินจิต-ปทุมวัน หลังถูกอ้างเกี่ยวโยงขน "อสุจิ" ไปลาว ชี้ยังไม่พบความเชื่อมโยง

สบส.ลงตรวจ 2 คลินิกย่านเพลินจิต-ปทุมวัน หลังถูกอ้างเกี่ยวโยงขน "อสุจิ" ไปลาว ชี้ยังไม่พบความเชื่อมโยง

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.  นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนสุขภาพบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมเจ้าหน้ากระทรวงสาธารณสุข ได้ที่เดินทางเข้าตรวจสอบคลินิก 2 แห่ง ย่านเพลินจิต และเขตปทุมวัน ซึ่งเป็น 2 ใน 4 แห่ง ที่นายนิธินนทน์ ศรีธานิยานันท์ ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวบริเวณด่านชายแดนไทย-ลาว จังหวัดหนองคาย อ้างว่ารับถังไนโตรเจนบรรจุอสุจิ ไข่ และตัวอ่อนแช่แข็ง มาก่อนที่จะนำส่งออกไปยังปลายทาง แต่ถูกจับกุมได้เสียก่อน

นพ.ธงชัย เปิดเผยว่า จากกรณีการตรวจจับที่หนองคายนั้น ได้มีการกล่าวอ้างถึงชื่อคลินิกทั้ง 4 แห่ง ซึ่งวันนี้ทาง สบส.ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบมาตรฐาน แต่ไม่ได้เข้าจับกุม เนื่องจากยังไม่พบความผิด อย่างไรก็ตาม ล่าสุดจากการตรวจสอบคลินิกย่านเพลินจิตนั้น ได้รับการขึ้นทะเบียนถูกต้องและมีมาตรฐานในการเก็บน้ำเชื้ออสุจิ ส่วนประเด็นว่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีตรวจจับที่ จ.หนองคายหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด และจากการหารือกับทางแพทย์ที่ประจำคลินิกแห่งนี้ แจ้งว่า เบื้องต้นได้แจ้งความทางผู้กล่าวอ้างถึงคลินิก โดยยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามทาง สบส. จะลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกทั้งหมด 70 แห่ง ที่มีศักยภาพในการทำการผสมเทียม การจัดเก็บน้ำเชื้อ ซึ่งจะตรวจสอบมาตรฐานทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวถามถามว่า จากข่าวการเข้าตรวจสอบคลินิกเหล่านี้ จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายหลักฐานที่อาจเชื่อมโยงกันหรือไม่ นพ.ธงชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะหลักฐานทั้งหมดอยู่ที่จ.หนองคาย และต้องรอการตรวจสอบถังไนโตรเจนว่า บรรจุเชื้ออสุจิ หรือเป็นไข่ หรือเป็นตัวอ่อน ก่อน ทราบว่าทางหนองคายส่งต่อไปยังพื้นที่ขอนแก่น เนื่องจากมีศักยภาพในการตรวจสอบ  และเมื่อได้ข้อมูลแล้วจะส่งมายัง สบส. เพื่อทำการขยายผลต่อไปว่า เกี่ยวข้องกับคลินิกแห่งใดบ้าง

สบส.ตรวจ2คลินิกกลางกรุงโยงหนุ่มหิ้วถังอสุจิไปลาว

“เมื่อทราบข้อมูลหลักฐานทั้งหมดแล้ว ทาง สบส.จะมีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบได้ว่า หลักฐานเชื่อมโยงไปยังคลินิกหรือหน่วยบริการทางการแพทย์ใดบ้างหรือไม่ หากเกี่ยวข้องก็สามารถตรวจจับได้ รวมทั้งกรณีที่เกิดขึ้นมีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่เรียกว่า คุณยู เราต้องมาตรวจสอบว่า เป็นตัวแทนในการจัดส่งเรื่องนี้หรือไม่ หรือเป็นเอเจนซี่ ซึ่งหากใช่จะมีความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558  มีโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีโทษสูง” นพ.ธงชัย กล่าว

ทั้งนี้หากพบว่า มีสถานพยาบาลหรือคลินิกเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขาย นำเข้า หรือส่งออก อสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่การเคลื่อนย้ายถังไนโตรเจนบรรจุอสุจิ เพื่อนำไปทำอุ้มบุญยังต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมายเข้มงวด นพ.ธงชัย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่กฎหมายก็ระบุไว้แล้วว่า ไม่สามารถนำไข่ อสุจิ หรือตัวอ่อนออกนอกประเทศ เพราะหากตรวจจับได้ที่ด่าน เหมือนกรณีหนองคาย ก็ถือว่าผิด แต่หากข้ามไปยังประเทศปลายทางแล้ว จะไม่สามารถดำเนินคดีได้

เมื่อถามว่าเพราะเหตุใดจึงต้องนำอสุจิไปทำอุ้มบุญที่ต่างประเทศ นพ.ธงชัย กล่าวว่า อาจเพราะไทยมีศักยภาพในเรื่องเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และขณะนี้เราก็ยังไม่ทราบว่า กรณีนี้เป็นการนำอสุจิไปทำอุ้มบุญจริงหรือไม่ เพราะยังไม่ได้รับการยืนยันว่า ถังไนโตรเจนเป็นเชื้ออสุจิ