posttoday

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

25 พฤษภาคม 2563

“นัฐพงษ์ เฉียบแหลม” หนุ่มนครปฐมวัย 32 อดีตนักเลงหัวไม้เลือดร้อนที่พลิกตัวเองสู่การเป็นนักบุญช่วยเหลือคนยากไร้ แจกทานเงิน 500 บาทกับข้าวของเครื่องใช้แลกกับรอยยิ้มเพื่อทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้

เรื่อง : วิรวินท์ ศรีโหมด, เรียบเรียง : รัชพล ธนศุทธิสกุล

ภาพ : อมรเทพ โชติเฉลิมพงษ์, นัฐพงษ์ เฉียบแหลม

“ไหนยิ้มหวานซิเอาไป 500” คือวลีประจำตัวของ “นัฐพงษ์ เฉียบแหลม” หรือ “นักบุญล่ายิ้ม” ที่ใครๆ เรียกขานหนุ่มนครปฐมวัย 32 เจ้าของภารกิจแลกยิ้มกับทานเงินและของใช้แก่ผู้คนที่ใช้ชีวิตตามท้องถนน จนเป็นที่ชื่นชมซาบซึ้งใจในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้

สารภาพอย่างตามตรงว่าสิ่งนี้ทำให้เราเดินทางไปพบและทำความรู้จักกับเขา ว่าตัวตนเขานั้นเป็นเช่นไร? เหตุใดจึงสละทรัพย์ในช่วงที่มีค่ายิ่งเวลาวิกฤตแบบนี้?

“ตอนแรกที่ลงไปช่วยเขาเนี่ย รอยยิ้มสักรอยหนึ่งยังไม่มีเลย ผมถามพวกเขาว่า คุณลุงครับ ทำไมคุณลุงถึงไม่ยิ้มเลย ลุงไม่มีความสุขหรอกลูก ลุงอยู่แค่รอวันตาย โอ้โห…มันแทงเข้าไปในหัวใจเราเลย ลุงบอกไม่รู้จะยิ้มให้ใคร ไม่มีใครยิ้มให้ลุง” เขากล่าวแรกเริ่มบทสัมภาษณ์เพียงสั้นๆ แต่เปลี่ยนรอยยิ้มที่แห้งผากกลับมาชุ่มชื่นที่ไม่เพียงคนที่ได้รับเท่านั้น แต่กับเราคนที่ได้เห็นก็ยังยิ้มแลกตามไปด้วยความซึ้งใจ

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

แค่ประชาชนคนธรรมดาที่รู้ ‘บุญ-บาป’

"นัฐพงษ์ เฉียบแหลม" เกิดและเติบโตที่จ.นครปฐม มีชีวิตในวัยเด็กแบบอย่างวัยรุ่นทั่วๆ ไปที่มีทั้งผิดบ้างถูกบ้างปะปน ซึ่งอาจจะมีความคึกคะนองตามฮอร์โมนที่พลุ่งพล่าน เพื่อนชวนไปวิวาทตีกับใครก็ไปกับเขา ชักชวนกันไปทำอะไรที่ไหนก็ไปกันหมด แต่ในอีกมุมหนึ่งเขาก็ชอบทำบุญ ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำจากการปลูกฝังของปู่ทวดที่เป็นคนถือศีลใฝ่ธรรมะถึงขั้นเป็นอาจารย์ที่ชาวบ้านละแวกหมู่บ้านนับถือ

“วัยเด็กผมก็ตามประสาวัยรุ่น เพื่อนชวนไปตีใคร ไปทำอะไรที่ไหนไปหมด เพราะเรารักเพื่อน เวลากลางคืนเราไปขับรถเล่นหรือว่าเราไปมีเรื่องมีราวก็จริงอยู่ แต่ว่าช่วงเช้าผมจะต้องใส่บาตร เพราะเป็นคนที่ชอบทำบุญมาก ก่อนออกจากบ้านจะต้องสวดมนต์ประจำ เรามีความปลูกฝังจากปู่ทวดของเรา"

คืนวันผ่านไปหนุ่มนครปฐมผู้นี้ในทางหมัดมวยก็ว่าแน่ ในทางบุญบาปก็ไม่รองใคร ระหว่างที่ชีวิตก้ำๆ กึงๆ นักเลงและนักชอบทำบุญ นัฐพงษ์ก็เกิดจุดพลิกผันจากการที่ไปบังเอิญพบเจอกับคนที่ตายไป 7 วันแล้วฟื้นมาบอกเล่าเรื่องราวบุญและกรรมนั้นมีจริง อดีตนักเลงหัวไม้จึงลดราชีวิตด้านมืดหันมาเทหหมดหน้าตักให้กับด้านสว่าง

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“จุดเปลี่ยนของผมเลยนะ คือไปเจอคนตายแล้วฟื้นตายไป 7 วันแล้วฟื้นขึ้นมา” เขากล่าว “เขามาเล่าในสิ่งที่ไปพบเจอ ซึ่งในมุมในวันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ผมเลยเชื่อ มันเป็นความเชื่อของผมเลยว่า บุญทำแล้วได้มีจริงๆ แล้วกรรมก็มีจริงๆ เหมือนกัน ผมก็เลยหันเข้าธรรมะศึกษาและก็มาเรียนวิชาสักยันต์ต่อมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์และก็มาสัก เขาจึงให้นามผมว่าอาจารย์ จริงๆ แล้วผมก็เป็นประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้สูงส่งอะไร

“พอเราศึกษาธรรม ด้วยความที่เรานับถือหลวงปู่ศุข หลวงพ่อเปิ่น ท่านไม่เคยยึดติดอะไรเลย เราก็เลยถามใจตัวเองมาตลอดว่า เรากล้าสละไหม เพราะเราเคยอธิษฐานไว้ว่าเมื่อวันใดที่เรามี เราดีขึ้น เรามีกิน เราจะช่วยเหลือผู้ยากไร้ เราจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ อย่างเช่น ปลาที่จะถูกฆ่า นกที่โดนขัง คนที่กำลังจะตาย หากไปช่วยเขาได้หรือว่าอะไรก็จะทำ”

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

แค่กระทรวงการยิ้ม

ท่ามกลางสภาพสังคมในเวลานี้ที่กระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปทั่วทุกพื้นที่และทุกระดับผู้คนในสังคมที่ไม่น่าจบได้ในเร็ววันนี้ นัฐพงษ์เห็นดังนั้นจึงเริ่มต้นภารกิจแจกทานเงินแลกยิ้มละ 500 บาทพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา

โดยนำเงินทั้งจากส่วนตัว มิตรสหาย เงินส่วนทำบุญจากค่าครู ค่าบูชาวัตถุมงคล ซึ่งรวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่าเกือบ 400,000 บาท ที่ได้มาไม่ใช่เงินจากการค้ายา ไม่ใช่เงินจากการพนัน ไม่ได้เป็นเงินปล้น เงินฆ่าหรือได้มาเพราะกดขี่ข่มเหงใครเขา

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมมานั่งมองทองข้อมือ ทองข้อมือเส้นนี้ลูกศิษย์เขามาถวายแก้บนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมตัดสินใจขายได้เงินมา 49,200 บาท ผมก็เลยเอาเงินโปะเข้าไปให้เป็น 50,000 บาท จากที่เปิดสักมาเนี่ยผมจะเอาเงินแยกไว้ปันส่วนเพื่อทำบุญโดยเฉพาะ ดึงเงินออกมาเลย 30,000 บาท เป็น 80,000 บาท บอกกับเพื่อนๆ พี่ๆ ได้เงินมาอีก 70,000 บาท เป็น 150,000 บาท

“จากนั้นนำเหรียญพ่อแก่ออกมาให้คนได้บูชาเหรียญละ 300 บาท ชุดแรกเลย 150,000 บาท ส่วนชุดที่สองวัตถุมงคลได้ 120,000 บาท หักออก 20,000 กว่าบาท ไปสร้างหลังคาให้ผู้หญิงตาบอดเหลือ 100,000 บาท ก็เท่ากับว่า 250,000 บาท และก็มีพี่ๆ ตำรวจ ทหาร ที่รู้จักกันสนิทใกล้ตัวเอาเงินมาให้เพิ่มอีก รวมๆ แล้วน่าจะประมาณอยู่ที่ 300,000-400,000 บาท ผมจึงพูดในคลิปกับทุกคนเสมอว่าผมทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ เงินบริสุทธิ์มาจริงๆ”

หลังรวบรวมทุนที่พอจะช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่องนัฐพงษ์ก็ไม่รีรอช้า เริ่มต้นเดินสายแลกยิ้มให้กับคนพเนจรด้วยยิ้มละ 500 บาท ตั้งแต่ในจังหวัดตัวเองที่นครปฐมและกระจายไปจังหวัดเคียงข้างอย่าง พระนครศรีอยุธยา สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฯลฯ เป็นระยะเวลากว่าเกือบ 1 เดือนด้วยกัน

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“พอได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขาเหล่านี้ เขานั้นมีความรู้สึกว่าสิ่งนี้ที่ได้กลับมาเนี่ยมันมากกว่าทองคำ 100 บาท เพราะสามารถทำให้คนๆ หนึ่งรู้สึกไม่โดดเดี่ยว ไม่เดียวดาย เขาไม่มีญาติพี่น้องก็จริงแต่เขายังมีเพื่อนร่วมประเทศ เพื่อนร่วมโลกที่เขาได้พูดคุย ได้ระบาย เราดีใจนะที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา สิ่งนี้ที่ผมได้มากกว่าเงิน สิ่งนี้ที่ผมได้มากกว่าทุกอย่างเลย นั่นคือรอยยิ้มของพวกเขา

“ถามว่าทำไมผมจึงต้องให้คนพเนจร คือถ้าผมซื้อของมาแจกคนเหมือนที่ทุกท่านหลายๆ ท่านทำ คนมีเงินก็มาเอาได้ คนมีรถมาเอาได้ คนมีบ้านมาเอาได้คนมีโซเชียลจะได้รู้และมาเอาได้ แต่คนพเนจร ไม่ได้รับรู้อะไรเลย ถุงยังชีพอยู่ตรงไหนยังไม่รู้อะไรเลย แจกของตรงไหนก็ไม่รู้ ผมเลยตัดสินใจช่วยคนพเนจรก่อน”

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

แค่จนกว่าจะหมดลมหายใจ

ผู้ตามล่าซื้อยิ้มคนพเนจรบอกว่าถ้าผมยังมีลมหายใจจะไม่หยุดที่จะช่วยเหลือสังคม เพราะไม่เพียงจะช่วยบรรเทาทุกข์บำรุงสุขแก่คนตกทุกข์ได้ยากแล้ว เขายังได้ฝึกจิตและขัดเกลาใจตัวเอง

“ผมเจอคนพิการคนหนึ่งกำลังเดินใช้ไม้เท้า แกเป็นอัมพฤกษ์อายุ 30 กว่า ผมเลยเปิดกระจกเรียก ประทับใจตรงที่เขาก็ไม่มี แต่เขาพูดกลับมาว่า 1,000 บาท ที่ซื้อ 2 ยิ้มเนี่ยพอแล้ว เขาไม่มีแต่เขาพูดว่าพอแล้ว มันสอนให้เราว่า แล้วเราล่ะพอหรือยัง มันเลยได้ตรงนี้มาเลย

“และที่ได้อีกคือผมได้ทำในสิ่งที่ผมฝันไว้เมื่อวันหนึ่งที่เรามีเราจะแบ่งปันและให้กับผู้ที่จนกว่า ผมได้รู้แล้วว่าหัวใจตัวผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ผมพร้อมที่จะช่วยเหลือสังคม ผมพร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศชาติบ้านเมืองหรือสรรพสัตว์ เพื่อนฝูงสายเลือดเดียวกันในประเทศไทย ผมได้ขัดเกลาสันดานตัวผมเองนี่คือ สามอย่างหลักๆ ที่ตัวผมได้มา”

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจึงจะไม่หยุดช่วยสังคม” เขาย้ำจากประสบการณ์คืนวันที่ผ่านในวันนี้กลายปณิธานชีวิตของตัวเองที่จะไม่หยุดช่วยสังคม ไม่หยุดช่วยพระศาสนา ไม่หยุดช่วยผู้ยากไร้ เพราะทุกคนในประเทศไทยบ้านเราคือเลือดเดียวกัน

“ออกมาทำครับไม่ต้องกลัว จงมาแบ่งปันให้กับผู้ยากไร้ ผู้ไม่มีอันจะกินบ้าง แบ่งเขาแล้วมันจะสวยงามมาก คือคนอยากทำดีนะครับ แล้วไม่กล้าออกมาทำ หนึ่งเลยโดนดูถูกคําครหา อย่างเช่นผมเลยอันดับแรก เพราะสิ่งเหล่านี้นะครับที่พวกท่านดูถูก คนดีๆ คนที่อยากทำดีช่วยเหลือสังคมไว้ ท่านมองเพียงแค่ด้วยสายตา แต่ท่านไม่เคยได้เอาหัวใจออกมามอง ท่านจึงสบประมาทปรามาสคนดีๆอีกหลายๆท่าน จนไม่กล้าออกมาทำ

“ท่านดูถูกเขาโดยไม่รู้จักเขาเลย ท่านไม่เคยเจอเขาเลย ผมอยากจะฝากตรงนี้ไว้เหมือนกัน อย่าใช้สายตาแค่มองคนขอให้ได้สัมผัส ได้รู้สึก ได้รับรู้ในการกระทำของเขาก่อนจะทำให้คนเหล่านี้ที่อยากทำดีช่วยสังคมประเทศชาติบ้านเราท้อแล้วไม่อยากทำดี” เขากล่าวทิ้งท้าย

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้

“ผมจะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ” นักบุญล่ายิ้มผู้มาจากอดีตนักเลงหัวไม้