เข้าผับ-ร้านอาหาร-งานวัด เพื่อเต้นสู้มะเร็ง “ป้าสา-สายัญ เดชดวงตา”
“ป้าสา-สายัญ เดชดวงตา” ต่อสู้กับมะเร็งปากมดลูกระยะ 3 ด้วย “การเต้น” จนเซลล์มะเร็งไม่ลุกลาม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสามารถอยู่กับมะเร็งมาได้กว่า 5 ปีแล้ว
“ป้าสา-สายัญ เดชดวงตา” ต่อสู้กับมะเร็งปากมดลูกระยะ 3 ด้วย “การเต้น” จนเซลล์มะเร็งไม่ลุกลาม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสามารถอยู่กับมะเร็งมาได้กว่า 5 ปีแล้ว
**********************************
เรื่อง…รัชพล ธนศุทธิสกุล ภาพ…ฉัตรอนันท์ ฉัตรอภิวันท์/สมชาย รักษ์มณี
จากสาวเหนือเมืองเชียงใหม่จบป.4 เริ่มต้นทำงานรับจ้างทำไร่ข้าวโพดช่วยเหลือครอบครัว เก็บเกี่ยวคืนวันอันสดใสตามวิถีชีวิตสุขบ้าง ทุกข์บ้างอย่างปุถุชนคนทั่วไป ครั้นเมื่อเติบใหญ่พบรักแต่งงานกับสุภาพบุรุษและสร้างครอบครัวผาสุขจนกระทั่งวัย 58ปี
วันดีปีร้ายพบว่าป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 2 กำลังเข้าระยะที่ 3 ทั้งหมดของชีวิตพังทลายได้แต่คิดนอนรอความตาย กระทั่งมาพบเจอกับการเต้นออกสเต็ปแดนซ์ดนตรีงานวัด ร้านอาหารและผับ ทำให้มะเร็งร้ายหยุดคุกคาม
ปัจจุบัน “ป้าสา-สายัญ เดชดวงตา” สามารถอยู่กับมะเร็งมาได้กว่า 5 ปีแล้วด้วยสุขภาพที่แข็งแรงและกลายเป็นแกนนำขาแดนซ์ดนตรีงานวัด ร้านอาหาร ผับ ในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง
ไม่ "ตาย" เพราะไม่ท้อ
“เดือนกรกฎาคม ปี 2557 ที่รู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 2 ย่างเข้า3” ป้าสาเริ่มต้นเล่าจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเป็นคนรักสันโดษสู่การเข้าสังคมเพราะการมาเยือนของโรคร้าย
“ตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นมะเร็งนะ คิดว่าเป็นโรคทางเดินปัสสาวะเพราะเข้าห้องน้ำบ่อยมาก จนทำงานก็ต้องใส่แพมเพิร์สไปทำงาน แต่พอไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งด้วยอีกโรค ตอนนั้นถูกส่งจากโรงพยาบาลดำเนินสะดวก ไปโรงพยาบาลศิริราชเลย”
แอดมิทด่วนครั้งแรก 10 วัน ถัดจากนั้น 7 วัน และ 3 วันตามลำดับเพื่อผ่าตัดรักษา ทว่าก็ทำได้เพียงต่อลมหายใจเพราะมะเร็งนั้นลุกลามไปแทบจะทั่วร่างกายแล้ว ป้าสาบอกว่าความรู้สึกในตอนนั้นยอมรับว่านอย หลังจากรักษาได้ 1 ปีก็ไม่คิดที่จะสู้เพราะค่าใช้จ่ายที่สูง จึงตัดสินใจนอนเป็นผักได้คิดแต่ว่าสละแล้วไม่รักษา
“คนเราถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ควรปล่อยตัวเอง มันมีทางออก” เธอบอกคำเทศนาของพระเกจิอาจารย์วัดป่าแห่งหนึ่งทางภาคอีสานที่พบเข้าโดยบังเอิญในระหว่างเปิดทีวี ซึ่งนั้นทำให้เธอได้ฉุกคิดและลุกขึ้นมีแต่คำว่าสู้ๆ
“เอามันขึ้นชั่งแล้วก็ชั่งหัวมัน” เป็นอีกคำที่ทำป้าสาลุกขึ้นสู้ คำพระราชดำรัสของพ่อหลวงร.9 ได้ถูกตีเป็นการที่เมื่อพบปัญหาทุกอย่างมีทางออกหากเราสู้ ป้าสาจึงเข้ารับการรักษาต่อหมอนัดไม่เคยเบี้ยวขาด หันไปรักตัวเองใส่ใจตัวเอง กินสมุนไพรพื้นบ้าน กินผลไม้ 11 อย่าง กระเทียม ขิง ข่า ผลไม้ส้ม แอปเปิ้ล มะขามป้อม ฯลฯ ก่อนกินข้าวเช้า
“เป็นโรคนี้ต้องสู้ เป็นโรคนี้ถ้าท้อมันจะกินเราไปก่อนเวลา เพื่อนๆ ป้าไปเผาหมดแล้ว คนรู้จักที่เจอตอนไปนั่งรอคิวรักษาที่โรงพยาบาล ตอนนี้เหลือคนเดียวเวลาไปตรวจไม่รู้จักใครแล้ว”
มะเร็งเปิดโลก ‘ขาแดนซ์’ วัยดึก
เมื่อมองโลกแง่มุมดีการมาของมะเร็งที่ลุกลามอยู่ทั่วตัวป้าสาเองก็ยอมรับและเข้าใจที่จะอยู่ร่วม เธอกล่าวขอบคุณมะเร็งที่เข้ามาที่มาช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้กับชีวิต
“เราเป็นคนชอบอยู่คนเดียวแต่ก่อนเพื่อนฝูงน้อย ไม่เข้าสังคมหรือออกไปเที่ยวไหน สาวๆ นี้ไม่เคยแต่งตัวเลย ทำแต่งาน 50 กว่าปี แต่พอเราป่วยเข้ารักษามะเร็งคิดว่าเอาเฉพาะวันนี้ให้ดีที่สุด ทีนี้พอเพื่อนชวนไปเที่ยวก็ไป”
ป้าสาเปิดใจและกายเริ่มต้นจากเข้าวัดทำบุญตามเทศกาล จังหวะเดินๆ เที่ยวเห็นมีดนตรีเข้าไปยื่นดูเจอจังหวะเพลงที่สนุกร่างกายก็ขยับเต้นตามเมโลดี้ แต่เต้นไปเต้นมาพอรู้สึกเหงื่อออกกับรู้สึกถึงร่างกายที่เบาสบาย แถมพอกลับมาบ้านไม่ปวดเมื่อยจากโรคที่ยังอยู่ในตัว ตั้งแต่นั้นมาป้าสาก็เริ่มไปเรื่อยที่ไหนมีงานวัดที่ไหนไปหมด ไม่เว้นกระทั่งงานบวช งานแต่ง หรือร้านอาหาร ผับ
“ป้าและกลุ่มนี้ตัวเปิดเลย พอเพลงมันๆ ขึ้นลุกปุ๊บจากปูเสื่อนั่งฟังกันเรียบร้อยสักพักมีคนตามเพียบ” ป้าสาบอกเล่าอย่างอารมณ์ดี “สเต็ปป้าก็ง่ายๆ เต้นแรงเต้นกาไปเรื่อย คิดว่าไปออกกำลังกาย พอเหงื่อออกร่างกายเรามันรู้สึกว่าดีขึ้น เหงื่อออกแล้วมันเหมือนขับพิษ ไม่มีเจ็บปวดอาการมันทุเลาลง แต่ไม่ใช่ว่าหายนะ หมอบอกว่าไปตรวจทีไรก็ปกติ อยู่อย่างเดิมไม่แพร่ ไม่ทรุด เซลล์ที่คุมไว้อยู่อย่างเดิม ก็เข้าทางความสุขของเรา โลกใบใหม่ของเราตอนนี้ คือการเต้น การออกกำลังกาย เสียงเพลงช่วยเราได้ ก็เต้นแทบทุกวัน วันไหนไม่ได้ไป ไม่มีใครมาหาใครมาชวน ป้าดูทางยูทูป ฟังเพลง”
บรรเลงบรรลัยไม่ไล่ไม่เลิก!
“บรรเลงบรรลัยไม่ไล่ไม่เลิก อย่าไปท้อ ชีวิตคนเราต้องสู้ สู้จนกว่าจะหมดลมหายใจ” ป้าสาให้กำลังใจหลายๆ คนที่พบเจอปัญหาทั้งเรื่องสุขภาพและชีวิต
“กำลังใจวันที่ข้างหน้ามืดไม่รู้ว่าสว่าง คนอื่นเจอนิดเดียวท้อ ฆ่าตัวตายได้ยินข่าวตอนนี้เยอะมาก สำหรับป้าเฉยๆ เราแค่ไม่คิดมากอย่างเดียว ทุกอย่างมีทางออก เราไปเจอทางตันเราก็ถอยหลังออกมาซิ แล้วมาตั้งต้นคิดใหม่”
และนี่ก็คือเรื่องราวของหญิงป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกวัย 58 ปี ที่หัวใจไม่มีโรยรา แม้ต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคร้ายอันดับต้นๆ ที่ฆ่าชีวิตมนุษย์ แต่เธอกลับมีความสุขและสนุกในการรับมือด้วยการเต้นจน 5 ปีมานี้มะเร็งที่ว่าแน่เหลือร้ายยังต้องหยุดคุกคามได้แต่เล็งๆ แต่ยิงไม่ถูกเธอ