แจงข่าวเตรียมขึ้นค่าแรงเป็น492บาทไม่เป็นความจริง
รมว.แรงงานแจงข่าวเตรียมขึ้นค่าแรงเป็น 492 บาทไม่เป็นความจริง ชี้ยังอยู่ระหว่างการทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ชี้หากขึ้นเป็น 400 กว่าบาท เชื่อว่าไม่มีบริษัทใดอยู่รอดในสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 65 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียเป็นประกาศเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 บาท เป็น 492 บาท (รอการอนุมัติตัวเลข) โดยระบุว่า ข่าวดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริง เนื่องจากข้อเท็จจริงในการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้ง มีคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรไตรภาคี 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้าง พิจารณาและปรึกษาหารืออย่างรอบคอบ ก่อนจะได้ข้อยุติร่วมกัน
แม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 จนถึงปัจจุบันแล้ว ในปี 2565 คณะกรรมการค่าจ้างได้กำหนดแผนทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกรุงเทพมหานคร พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ค. 65 จากนั้นคณะกรรมการค่าจ้าง จะพิจารณาข้อมูลทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ค.65
รมว.แรงงาน กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะมีการปรับแน่นอน แต่จะต้องพิจารณาตามภาวะเงินเฟ้อกับค่าครองชีพแต่ละจังหวัดด้วย
อย่างไรก็ตามขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้ขึ้นค่าจ้าง แต่รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ม33เรารักกัน คนละ 6,000 บาท โครงการคนละครึ่ง เยียวยากรณีถูกหยุดงานจากมาตรการของรัฐเป็นเวลา 3 เดือน คนละ 5,000 บาท เป็นเงิน 15,000 บาท ลดเงินสมทบประกันสังคมค่างวด 3 เดือน 4 ครั้ง เยียวยาอาชีพอิสระคนกลางคืน และการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME รายละ 3,000 บาท รักษาระดับการจ้างงานให้ลูกจ้างเกือบ 5,000,000 คน ทำให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ไม่ต้องตกงาน
รมว.แรงงานแรงงาน กล่าวด้วยว่าปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ในระดับต้นๆ ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และสูงกว่าเวียดนาม มาเลเซีย เมียนมา นักลงทุนหลายประเทศจึงเลือกที่จะย้ายฐานการผลิตเพื่อไปหาแหล่งค่าจ้างที่ถูกกว่า ซึ่งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องของภาวะเงินเฟ้อบวกกับค่าครองชีพแต่ละจังหวัด ถ้าจะขึ้น 40% 30% เชื่อว่าไม่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และค่าแรงคนงานของประเทศไทยส่วนมากคนไทยมีทักษะความสามารถได้ค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว
ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำที่ใช้อยู่ในปัจจุบันส่วนมากกว่า 80% เป็นส่วนของคนต่างด้าว 3 สัญชาติที่เข้ามาทำงานเป็นกรรมกร หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 กว่าบาทเป็น 400 กว่าบาท เชื่อว่าไม่มีบริษัทใดอยู่รอดในสถานการณ์เช่นนี้


