posttoday

ศาลเริ่มไต่สวนพยาน 3 ปากคดี ผกก.โจ้-ลูกน้อง นัดแรก

20 กุมภาพันธ์ 2565

ศาลอาญาคดีทุจริต ฯ เริ่มไต่สวนพยาน คดี ผกก.โจ้-ลูกน้อง นัดแรก สืบพยานเสร็จ 3 ปาก เปิดทำการนอกเวลาพิเศษใช้เวลาสืบเสาร์-อาทิตย์เพื่ออำนวยความยุติธรรมพิจารณาคดีโดยเร็ว

จากกรณีที่เป็นข่าวดังเมื่อปี 2564 การดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับ ฯ โจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ และลูกน้อง รวม 7 คน จากกรณีกล่าวหาเมื่อเดือน ส.ค.64 ใช้ถุงพลาสติกสีดำ คลุมศีรษะนายจิระพงศ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ อายุ 24 ปีเศษ ผู้ถูกจับคดียาเสพติดจนเสียชีวิตนั้น

ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.พ.65 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ทำการไต่สวนพยานคดีผู้กำกับ ฯ โจ้ เป็นนัดแรกซึ่งเป็นการไต่สวนพยานของอัยการโจทก์ โดยศาลดำเนินไต่สวนพยานผ่านระบบการประชุมทางจอภาพไปยังเรือนจำคลองเปรม ที่ผู้กำกับ ฯ โจ้ และลูกน้อง ตกเป็นจําเลยรวม 7 คนได้รับฟังด้วย เนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ก.พ. เรือนจำกลางคลองเปรม ได้มีหนังสือแจ้งให้ศาลทราบว่ามีการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในช่วงนี้ รวมทั้งจําเลยทั้งเจ็ดที่จะเบิกตัวมาพิจารณาในศาลอยู่ในกลุ่มสุ่มเสี่ยง จึงขออนุญาตพิจารณาคดีโดยระบบการประชุมผ่านทางจอภาพ

ซึ่งศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าหากมีการเบิกจําเลยทั้งเจ็ดมาพิจารณาที่ศาลอาจมีความเสี่ยงสูงในการคาดการณ์ว่าจำเลยทั้งเจ็ดได้รับผลการตรวจติดเชื้อไวรัสหรือไม่ และเพื่อป้องกันมิให้มีการแพร่ระบาด ประกอบการพิจารณาคดีผ่านทางจอภาพที่มีความชัดเจนจึงให้พิจารณาผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ

ขณะที่การไต่สวนพยานนัดแรก ศาลสืบพยานของอัยการโจทก์เสร็จรวม 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.อ.สุทธินันท์ คงแช่มดี น.ส.กนกวรรณ คล้ายนิ่ม และด.ต.ชีวิน นิกรธรรมรัต

โดยศาลอาญาคดีทุจริต ฯ เปิดทำการนอกเวลาพิเศษในวันเสาร์ เป็นกรณีที่ศาลยุติธรรมได้เปิดโครงการทำการนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ระหว่างเดือน พ.ย.64 – 31 มี.ค.65 เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้มีการพิจารณาพิพากษาคดีโดยเร็ว โดยเฉพาะคดีที่จำเลยถูกคุมขังอันจะเป็นประโยชน์แก่คู่ความทุกฝ่าย โดยคดีของผู้กำกับ ฯ โจ้นี้ ศาลอาญาคดีทุจริต ฯ กำหนดนัดไต่สวนพยานในวันเสาร์ที่ 19 ก.พ. วันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ. วันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ.65 วันเสาร์ที่ 5 มี.ค. วันอาทิตย์ที่ 6 มี.ค. วันเสาร์ที่ 12 มี.ค. และวันอาทิตย์ที่ 13 มี.ค.65 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. รวมนัดไต่สวนพยานโจทก์-จำเลย รวม 7 นัด

สำหรับคดีนี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ น.ส.จันทร์จิรา ธนะพัฒน์ และนายจักรกฤษณ์ กลั่นดี มารดาและบิดาของนายจิระพงศ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต เป็นโจทก์ร่วมที่ 1-2 ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือผู้กำกับ ฯ โจ้ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ จำเลยที่ 1, พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง จำเลยที่ 2, ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค จำเลยที่ 3, ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา จำเลยที่ 4, ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว จำเลยที่ 5, ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น จำเลยที่ 6, ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว จำเลยที่ 7 ในคดีหมายเลขดำ อท.180/2564

ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 157, 288, 289(5), 309 วรรคสอง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4, 172

โดยขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งเจ็ดรับราชการตำรวจสังกัด สภ.เมืองนครสวรรค์ บก.ภ.จว.นครสวรรค์ โดยเมื่อวันที่ 4 ส.ค.64 ร่วมกันจับกุมนายจิระพงศ์ หรือมาวิน (ผู้เสียชีวิต) กับ น.ส.กนกวรรณ คล้ายนิ่ม และได้นำตัวไปสอบสวนขยายผลที่ห้องปฏิบัติการป้องกันปราบปรามยาเสพติด (ห้อง 05) สภ.เมืองนครสวรรค์

ขณะที่การยื่นฟ้อง น.ส.จันทร์จิรา และนายจักรกฤษณ์มารดา-บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมเป็นเงิน 1,550,000 บาทด้วย

และในทางคดีก่อนหน้านี้ นัดสอบคำให้การจำเลยเมื่อวันที่ 19 พ.ย.64 พ.ต.ท.ธิติสรรค์หรือผู้กำกับ ฯ โจ้ จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่มีเจตนาทำร้ายหรือทำให้ผู้ตายเสียชีวิต แต่กระทำไปเพื่อขยายผลหาข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามที่ปรากฏภาพถ่ายในโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตาย โดยรับว่าได้ใช้กำลังบังคับข่มขืนใจผู้ตายและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจริง

ส่วน พ.ต.ต.รวีโรจน์ จำเลยที่ 2 ให้การว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่รับว่าอยู่ในเหตุการณ์และได้ร่วมกันใช้กำลังบังคับข่มขืนใจผู้ตายกับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจริง

ร.ต.อ.ทรงยศ จำเลยที่ 3 ให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ได้ร่วมกันใช้กำลังบังคับข่มขืนใจผู้ตาย ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายและฆ่าผู้ตาย เนื่องจากจำเลยที่ 3 เข้ามาทีหลังเพื่อช่วยควบคุมตัวผู้ตายที่ถูกถุงพลาสติกคลุมศีรษะและกำลังดิ้นรนขัดขืนการสอบสวนขยายผลอยู่

ร.ต.ท.ธรณินทร์ จำเลยที่ 4 ให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายและฆ่าผู้ตาย เนื่องจากปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่รับว่าได้ร่วมกันข่มขืนใจผู้ตายจริง

ด.ต.วิสุทธิ์ จำเลยที่ 5 ให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ได้ร่วมกันใช้กำลังบังคับข่มขืนใจผู้ตาย ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายและฆ่าผู้ตาย เนื่องจากปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่รับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุจริง

ด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 ให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ได้ร่วมกันใช้กำลังบังคับข่มขืนใจผู้ตาย ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายและฆ่าผู้ตาย แต่รับว่าเข้ามาในห้องที่เกิดเหตุประมาณ 1 นาที แล้วเดินออกไป

ส.ต.ต.ปวีณ์กร จำเลยที่ 7 ให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ได้ร่วมกันใช้กำลังบังคับข่มขืนใจผู้ตาย ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายและฆ่าผู้ตาย แต่รับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุและเข้าไปร่วมจับตัวผู้ตายจริง เนื่องจากปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา