posttoday

อัยการเผยคดีเสือดำยุติแล้ว หลังศาลฎีกาจำคุก "เปรมชัยกับพวก"

08 ธันวาคม 2564

อัยการเผยแถลงคดีเสือดำยุติแล้ว หลังศาลฎีกาตัดสินจำคุก "เปรมชัยกับพวก" ย้ำเจ้าหน้าที่อุทยานฯตำรวจ-อัยการ ทำสำนวนละเอียด แม้จำเลยจะสู้ถึง 3 ศาลก็ดิ้นไม่หลุด

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 64 นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลง หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีนายเปรมชัย กรรณสูตร จำเลยกับพวก(คดีเสือดำ) โดยศาลสั่งจำคุก นายเปรมชัย 2 ปี 6 เดือน นายยง โดดเครือ 2 ปี 9 เดือน และนายธานี ทุมมาศ 2 ปี 13 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่

นายอิทธิพร กล่าวว่า คดีนี้เกิดขึ้นในปี 2560 ต่อมาเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2561 อัยการจังหวัดทองผาภูมิได้ยื่นฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2 นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3 และนายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 ในข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาอื่น ๆ อีกหลายข้อหา

ต่อมา วันที่ 19 มี.ค.2562 ศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษาจำคุก นายเปรมชัย 16 เดือน นายยงค์ 13 เดือน นางนที 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี และนายธานี 2 ปี 17 เดือน โดยยกฟ้องจำเลยบางข้อหา โดยเฉพาะนายเปรมชัย ศาลยกฟ้องในข้อหาร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) แต่ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนในข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) แทน

นายอิทธิพร กล่าวว่า ต่อมาวันที่ 24 พ.ค. 2562 อธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ทุกข้อหา และวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคน ตามที่พนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 ยื่นอุทธรณ์ โดยจำคุกนายเปรมชัย 2 ปี 14 เดือน จำคุกนายยงค์ โดดเครือ 2 ปี 17 เดือน จำคุกนางนที 1 ปี 8 เดือน รอการลงโทษให้ตามศาลชั้นต้น และจำคุกนายธานี ศ 2 ปี 21 เดือน ต่อมาหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนตามที่พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว อธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 จึงมีคำสั่งไม่ฎีกา

ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2563 จำเลย3 ราย คือ นายเปรมชัย นายยงค์ และนายธานี ทุมมาศ ได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาและอธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 โดยวันนี้ ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นและไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่เนื่องจากฎหมายพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2562 ให้ยกเลิกมาตรา 55 ของพ.ร.บ.ดังกล่าว ศาลจึงยกประโยชน์ให้

ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดในส่วนนี้ ตาม ป.อาญา มาตรา 2 คงจำคุกจำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 คงจำคุก 2 ปี 9 เดือน จำเลยที่ 4 คงจำคุก 2 ปี 13 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ต่อไป

นายประยุทธ กล่าวว่า คดีนี้จำเลยสู้คดีมาถึง 3 ศาลและฎีกาในทุกประเด็น แต่ศาลยกประโยชน์ให้จำเลยเมื่อกฎหมายพ.ร.บ.สวงนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯได้มีการแก้ไขมาตรา 55ซ่อนเร้นอำพรางสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่า เมื่อกฎหมายยกเลิกข้อหานี้จึงไม่เป็นความผิด ศาลจึงลดโทษให้จำเลยคนละ 8 เดือน และถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว

ส่วนสำนักงานอัยการจะต้องไปคัดคำพิพากษาของศาลฎีกาเพื่อให้ศาลสูงภาค 7 ส่งสำนักงานวิชาการอัยการสูงสุดให้เป็นแนวทางปฎิบัติราชการของอัยการต่อไป

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ผู้ที่มีบทบาทสำคัญ คือเจ้าหน้าที่อุทยานฯพนักงานสอบสวน และอัยการ อ.ทองผาภูมิที่ร่วมกับสอบสวนและทำสำนวนอย่างละเอียดรอบคอบจนเป็นที่มาของคำตัดสินในวันนี้