posttoday

รมว.ดีอีเอสลุยตั้งคณะทำงานดัน "บุหรี่ไฟฟ้า" ถูกกฎหมาย

14 ตุลาคม 2564

รมว.ดีอีเอสเผยเตรียมตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการอนุญาตใช้ "บุหรี่ไฟฟ้า" อย่างถูกกฎหมาย เชื่อมีผลดีมากกว่าผลเสีย

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เผยเตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการอนุญาตให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในต่างประเทศยอมรับให้เป็นทางเลือก เนื่องจากมีสารที่เป็นอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่ที่ทำจากใบยาสูบ โดยวันนี้ได้หารือกับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่มาให้ข้อมูล และจากการตรวจสอบธุรกิจออนไลน์พบว่ามีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้ามาขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมด

"ในประเทศไทยยังไม่มีการเปลี่ยน ยังยืนยันว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่ดีต่อประชาชน เป็นสิ่งที่ดีต่อบ้านเมือง แนวคิดในอดีตที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีข้อมูลใหม่ก็ควรต้องปรับแก้ได้ จะรวบรวมข้อมูลเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณา เรื่องนี้ในต่างประเทศที่จริงจังเรื่องสุขภาพยังรับรองให้ใช้ได้ แต่บ้านเราไม่เอา มันไม่มีเหตุผล" นายชัยวุฒิ กล่าว

รมว.ดีอีเอส กล่าวว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญที่จะเลือกสิ่งที่ดีกว่า และมีความเป็นห่วงเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบจะได้รับความเสียหายหลังมีแนวโน้มประชาชนจะหันไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องนำเหตุผลและความจริงมาพิจารณา แนวทางการแก้ไขไม่ยากเหมือนเรื่องกัญชาหรือกระท่อม ไม่ต้องเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพราะเป็นการใช้อำนาจบริหารที่เคยห้ามผลิต ห้ามนำเข้า ซึ่งหากทำให้ถูกกฎหมายจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย

"ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิดที่จะให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้วเอาใบยาสูบมาเป็นวัตถุดิบ นานไปเกษตรกรก็จะเดือดร้อน ปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาล" นายชัยวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ จากข้อมูลเมื่อ 3 ปีก่อนพบว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีมูลค่าการตลาดราวปีละ 6 พันล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตปีละ 100-200% หากทำให้ถูกกฎหมายจะทำให้ภาครัฐมีรายได้ และลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งถือว่าช่วง 7 ปีที่ผ่านมาเป็นความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า อยากให้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นกลางและเป็นธรรม เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตแล้ว โดยไม่มีการให้ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงกับประชาชนเหมือนในต่างประเทศ