ศบค.ชี้แนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง แต่กังวลคลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้างกลับมาใหม่

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 64 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า จากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่เปรียบเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กับตัวเลขคาดการณ์จากมาตรการล็อกดาวน์ พบว่า สถานการณ์ปัจจุบัน แนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตยังสูงอยู่ ซึ่งความเข้มข้นในการล็อกดาวน์ ทำงานที่บ้าน และเร่งฉีดวัคซีนยังมีความจำเป็น จึงอยากให้คนกลุ่มเสี่ยงต้องเร่งมาฉีดวัคซีนโดยด่วน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า คลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้างในกทม.ตอนนี้เริ่มกลับมาใหม่แล้ว ซึ่งสร้างความกังวลและทางกทม.ต้องเรียนรู้บทเรียนและหาวิธีป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดในแคมป์ หรือ พื้นที่เดิมๆได้อย่างไร รวมถึงไปถึงในตลาดด้วย ซึ่งกทม.ต้องมีการปรับแผนเชิงรุกมากขึ้น

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวการเปิดจองวัคซีนไฟเซอร์ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเฟคนิวส์ อย่านำไปแชร์ต่อ เพราะมีผู้ไม่ประสงค์ดีหลอกหลวง ซึ่งไฟเซอร์เป็นหนึ่งในวัคซีนที่รัฐให้บริการกับประชาชน และได้รับคำยืนยันว่า วัคซีนจะมีการจัดส่งเข้ามาในไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น และขอให้ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ

สำหรับสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศประจำวันมีดังนี้

-พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 17,491 ราย ประกอบด้วย

- ผู้ติดเชื้อในประเทศจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 15,014 ราย

- จากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 2,072 ราย และจากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 398 ราย

- ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 7 ราย มาจากอิสราเอล 1 ราย มาเลเซีย 1 ราย กัมพูชา 1 รายและเมียนมา ผ่านช่องทางธรรมชาติ 3 ราย

- เสียชีวิต 242 ราย เป็นชาย 134 ราย หญิง 108 ราย อายุระหว่าง 20 - 99 ปี (อายุเฉลี่ย 68 ปี) โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และมีโรคประจำตัวเรื้อรัง

-จำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงล่าสุดอยู่ที่ 1,066,786 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายแล้วเพิ่มขึ้น 22,134 ราย ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 9,562 ราย

-จังหวัดที่มีผู้ป่วยโควิด-19 สูงสุดใน 10 อันดับของวันนี้ คือ อันดับแรก กรุงเทพฯ 3,472 ราย, สมุทรสาคร 1,396 ราย, สมุทรปราการ 1,296 ราย, ชลบุรี 953 ราย, นนทบุรี 781 ราย, ราชบุรี 565 ราย, นครปฐม 413 ราย, พระนครศรีอยุธยา 406 ราย, สระบุรี 343 ราย, นครราชสีมา 325 ราย