กทม.ขอความร่วมมืองดเดินทางช่วง21ก.ค.-2ส.ค.เพื่อคุมโควิดระบาด

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าฯกทม.เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จากการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ โดยมี ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. กรมการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางราง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรุงเทพธนาคม บ.เรือด่วนเจ้าพระยา บริษัทครอบครัวขนส่ง (2002) จำกัด ร่วมประชุม

พล.ต.ท.โสภณ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในพื้นที่กทม. ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม.มีความเป็นห่วงในสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือแก้ไขปัญหา เพื่อชะลอการระบาดของโรค รวมทั้งเตรียมพร้อมมาตรการลดการเดินทางที่เป็นความเสี่ยงหรือเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อโรคแพร่ระบาดออกไป โดยในวันนี้กทม.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะมาร่วมหารือและขอความร่วมมือปฏิบัติตามข้อกำหนดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) เพื่อให้ประชาชนลดการเดินทางและอยู่กับบ้านให้มากขึ้น

ทั้งนี้ มีหน่วยงานผู้ดูแลการขนส่งสาธารณะทางบก ทางน้ำ และระบบรางเข้าร่วมประชุมชี้แจงแนวทางการบริหารจัดการการขนส่งสาธารณะในปัจจุบัน รวมทั้งผู้ประกอบการทุกแห่งยินดีให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการที่ราชการกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดจำนวนผู้โดยสารในแต่ละเที่ยวให้ไม่เกินร้อยละ 50 ของความจุของผู้โดยสาร รวมทั้งการลดจำนวนเที่ยวของการวิ่งให้บริการ เพื่อให้ประชาชนงดการเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.-2 ส.ค.64

อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามาตรการการลดจำนวนเที่ยวการขนส่งสาธารณะดังกล่าว ส่งผลกระทบและก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน ทำให้มีประชาชนต้องใช้เวลาในการรอคอยนานขึ้น มีความแออัดในแต่ละเที่ยวการให้บริการ จะมีการปรับแผนการเพิ่มจำนวนเที่ยวให้บริการเพื่อให้เหมาะสมตามความจำเป็น โดยกทม.ขอความร่วมมือประชาชนให้ความร่วมงดการเดินทางเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ รายละเอียดการปรับลดเที่ยวการให้บริการขนส่งสาธารณะแต่ละประเภท ทุกหน่วยงานจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบรายละเอียดทางช่องเว็บไซต์ ไลน์ เฟสบุค และสื่อประชาสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยงานให้ทั่วถึงต่อไป