posttoday

สธ.เพิ่มสิทธิรักษาฟรีในรพ.เอกชน! ผู้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีน

30 พฤษภาคม 2564

สธ.เพิ่มสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้ ประชาชนสามารถเข้ารักษาได้ฟรีในสถานพยาบาลเอกชน

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ฉบับที่ 1 และ 2 ให้ผู้ป่วยด้วยโรคโควิด 19 สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมนั้น

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่ประชาชนชาวไทยผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการนำพาประเทศให้ก้าวพ้นวิกฤติการณ์การระบาดของโรค แต่ด้วยสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกัน อีกทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในครั้งนี้มีผู้เข้ารับบริการนับล้านราย จึงอาจจะมีบางรายที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน

กรม สบส.จึงดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศฯฉบับก่อนหน้า ออกเป็นประกาศฉบับที่ 3 กำหนดให้สถานพยาบาลเอกชน ให้บริการแก่บุคคลที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เฉกเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย

สำหรับ ประกาศ “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19” (ฉบับที่ 3) นั้น ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เว้นแต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการฉีดวัคซีน ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป

ซึ่งจะส่งผลให้ ประชาชนที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากสถานพยาบาลเอกชนที่รัฐกำหนด สามารถเข้ารับการดูแลรักษาได้ฟรีจากสถานพยาบาลเอกชน

ซึ่งนอกจากการเพิ่มสิทธิเบิกจ่ายในข้างต้นแล้ว ประกาศฯ ฉบับที่ 3 ยังได้เพิ่มสิทธิในการเบิกจ่ายค่าพาหนะขนส่งผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้การดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 เป็นไปอย่างราบรื่น และเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบันด้วย