posttoday

องค์กรผู้บริโภคค้านครม.เคาะขึ้นค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็น65บาทตลอดสาย

30 พฤษภาคม 2564

สภาองค์กรของผู้บริโภค และ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ค้านครม.เตรียมพิจารณาต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทำค่าโดยสารพุ่งเป็น65บาทตลอดสาย ชี้ซ้ำเติมประชาชนจากวิกฤตโควิด พร้อมเสนอราคาปัจจุบัน 44 บาทตลอดสาย หลังหมดสัญญาสัมปทานให้เหลือ 25 บาท

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 64 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภครายงานว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้รับแจ้งให้ทราบว่าการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะถูกบรรจุเข้าเป็นวาระเร่งด่วนให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุม ในวันอังคารที่ 1 มิ.ย.นี้ โดยกรุงเทพมหานครยืนยันใช้ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสีเขียว 65 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปทำให้ประชาชนส่วนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนนี้ได้

นอกจากนี้ การขึ้นราคาในอัตราดังกล่าวยังได้รับการคัดค้านจากทั้งจากคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร สภาองค์กรของผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เนื่องจากปัญหาการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวล่วงหน้าของกรุงเทพมหานครขาดความโปร่งใส ปกปิดข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจ และไม่มีการรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วนในการดำเนินการ

ทำให้กำหนดอัตราค่าโดยสารราคาสูงสุดที่ 65 บาท ซึ่งไม่อยู่บนข้อเท็จจริงต้นทุนและยังสูงมากถึงร้อยละ 39.25 ของรายได้ขั้นต่ำต่อวันของประชาชน รวมถึงยังปล่อยปละละเลยให้ภาคเอกชนทวงหนี้ 30,000 ล้านบาท ต่อสาธารณะ ซึ่งอาจเข้าข่ายการทวงหนี้ผิดกฎหมายอีกด้วย

สภาองค์กรของผู้บริโภค และ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงขอคัดค้านคณะรัฐมนตรีที่จะนำสัญญาสัมปทานล่วงหน้าสายสีเขียวเข้ารับการพิจารณาในวันอังคารหน้านี้ เพราะจะเป็นการสร้างวิกฤตใหม่ซ้ำเติมประชาชน นอกเหนือจากปัญหาวิกฤติโควิด - 19 ที่เป็นปัญหาสำคัญและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปอีกอย่างน้อย 30 ปี (พ.ศ. 2573 - พ.ศ.2602)

จากการศึกษาข้อมูลรายงานประจำปีของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดย รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรมศาสตร์ พบว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีต้นทุนค่าโดยสารต่อเที่ยวเพียง 19.10 บาท, 16.30 บาท และ 13.50 บาท ในปี พ.ศ. 2562, 2561 และ 2560 ตามลำดับ จึงมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะสามารถกำหนดอัตราราคาค่าโดยสาร 25 บาทตลอดสายต่อเที่ยวหากไม่มีการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวล่วงหน้า

หากพิจารณารายได้ของบริษัทในการต่อสัญญาสัมปทานล่วงหน้า ที่กำหนดรายได้ของบริษัทไว้เพียง 30,000 ล้านบาทต่อปีในระยะเวลา 30 ปี ขณะที่รายได้จริงของบริษัทในปี พ.ศ. 2562 สูงถึง 39,931 ล้านบาทต่อปี จึงเป็นการคำนวณรายได้ของบริษัทที่ต่ำกว่าจริงหรือไม่ และอาจจะเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนหรือไม่ รวมถึงราคาดังกล่างจะเป็นการสร้างภาระที่เกินควรให้ผู้บริโภคด้วย หรือ หากจะพิจารณาราคาค่าโดยสารของกระทรวงคมนาคมที่ให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี ก็มีราคาสูงสุดเพียง 49.83 บาทตลอดสายเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ระบบสายสีเขียวนี้มีกำไรถึง 380,200 ล้านบาท จนถึงระยะเวลาหมดสัมปทานในปี 2602 หากลดราคาดังกล่าวลงมาเหลือเพียงร้อยละ 50 สามารถมีค่าโดยสารรถไฟฟ้าราคา 25 บาท และกรุงเทพมหานครก็ยังคงมีกำไรสูงถึง 23,200 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในอีก 38 ปีข้างหน้า(พ.ศ. 2602)

เพื่อลดปัญหาค่าครองชีพและลดค่าบริการขนส่งมวลชนของประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวันที่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาระบบรถไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ชานเมืองที่เป็นเป้าหมายของการใช้ระบบรถไฟฟ้าในการเดินทางเข้ามาทำงานในใจกลางกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเพื่อลดความแออัดของการจราจรบนท้องถนนและปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพและยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ในปัจจุบัน

จึงขอเสนอให้คณะรัฐมนตรี คงราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวราคา 44 บาทตลอดสาย ตามสิทธิของบริษัทในสัญญาสัมปทานนับแต่ปัจจุบันจึงปี พ.ศ. 2572 โดยมีการจัดเก็บค่าโดยสารเริ่มต้น 15 บาท ทั้งสัมปทานเดิม ส่วนต่อขยายเดิม และส่วนต่อขยายใหม่ เพื่อยึดหลักการเข้าถึงได้ของบริการขนส่งมวลชนของคนทุกคน และคำนึงถึงปัญหาความเดือดร้อนและภาระเกินสมควรของผู้บริโภคท่ามกลางวิกฤติโควิด - 19 ในปัจจุบัน