posttoday

ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตไอซ์ หีบเหล็ก คดีฆ่าทรมานเหยื่อ สั่งชดใช้ร่วม3ล้านบาท

29 มกราคม 2564

ศาลอาญาธนบุรี พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ไอซ์ หีบเหล็ก ฆ่าสาวทรมานทำร้ายร่างกายขังใส่หีบเหล็ก พร้อมให้ชดใช้แม่-ลูกคนตายด้วย ร่วม 3 ล้าน และให้นับโทษจำคุกต่ออีก 3 คดีด้วย

เมื่อวันที่ 29ม.ค.64 ที่ศาลอาญาธนบุรี ถ.เอกชัย-บางบอน ศาลอ่านคำพิพากษาคดีไอซ์ หีบเหล็ก ฆ่าสาวขังใส่หีบเหล็ก ในคดีหมายเลขดำ อ.585/2563 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบรี เและ น.ส.ศึกษาพร ไชยเชษฐ มารดาและบุตรของผู้ตาย ร่วมเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิชัย หรือเอกหรือไอซ์ องค์วิศิษฐ์ ฉายา "ไอซ์ หีบเหล็ก" อายุ 41 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมานฯ และความผิดเกี่ยวกับการซ่อนเร้น ทำลายศพฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ ) มาตรา 199, 289, 310, 366/3

โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 4 ส.ค.62 เวลากลางวัน - 6 ส.ค.62 เวลากลางคืน ต่อเนื่องกัน จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขัง น.ส.วรินทร์ธรณ์หรือกุ๊กกิ๊ก ไชยเชษฐ ผู้ตาย ไว้ในห้องพักของจำเลย แล้วจำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยกับพวกร่วมกันขุดหลุมและฝังศพผู้ตายเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายและเป็นการทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ โดยไม่มีเหตุอันสมควร เหตุเกิดที่แขวง-เขตบางแค กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายและริบของกลาง และขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย กับขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดง ย.201/2563, อ.1140/2563, ย.1831/2563 ของศาลอาญาธนบุรีด้วย ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและข้อหาร่วมกันทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าทำร้ายร่างกายผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยบันดาลโทสะ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ ทั้งนี้ระหว่างพิจารณา มารดาและบุตรของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลอนุญาตเฉพาะความผิดตามมาตรา 289, 310,366/3 และโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งจำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่าค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ร่วมทั้งสองเรียกสูงเกินควร เป็นค่าสินไหมทดแทนในอนาคตที่ไม่แน่นอน และผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดเหตุ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง โดยวันนี้ เป็นการอ่านคำพิพากษาผ่านระบบ VDO Conference จากศาลไปยังเรือนจำ ตามมาตราป้องกันและลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งจำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อปี 2563

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยแล้ว เห็นว่า ความผิดฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและข้อหาร่วมกันทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ กฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 176 วรรคแรก ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดทั้ง 2 ฐานดังกล่าว

ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย มาตรา 289 และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย มาตรา 310 นั้น ศาลเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยทำร้ายผู้ตายและนำผู้ตายใส่ในกล่องเหล็กทึบจนเสียชีวิต แต่มีพยานที่รู้เห็นและเบิกความยืนยันพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุที่จำเลยทำร้ายผู้ตาย โดยใช้ท่อนเหล็กทุบศีรษะและลำตัว ทั้งใส่กุญแจมือที่ข้อมือและข้อเท้าและบังคับให้ผู้ตายเข้าไปนอนในกล่องเหล็กทึบ และพฤติการณ์หลังจากที่ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่รับว่าทำร้ายผู้ตายและบังคับผู้ตายให้นอนในกล่องเหล็กทึบ

ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ทำร้ายผู้ตายโดยบันดาลโทสะเพราะผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยและกลับไปหาสามีผู้ตายนั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ

และที่จำเลยอ้างว่าจับผู้ตายเหวี่ยงไปถูกชั้นวางของทำให้ดัมเบล (ท่อนตุ้มเหล็กสำหรับออกกำลังกาย) ที่วางอยู่บนชั้นตกใส่ผู้ตายก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักกระแทกรุนแรงถึงขนาดทำให้เสียชีวิต ประกอบกับรายงานการตรวจศพที่แพทย์สรุปสาเหตุการตายว่า มีเลือดออกในช่องอกขวาจากทรวงอกได้รับบาดเจ็บรุนแรง ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือ พฤติการณ์ที่จำเลยรีบนำศพผู้ตายไปลักลอบฝังแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้ว่าตนกระทำผิดร้ายแรงและประสงค์จะปกปิดความผิดดังกล่าว

ดังนั้นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง จึงมีน้ำหนักเพียงพอที่ชี้ชัดว่า จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายใช้ท่อนเหล็กทุบตีทำร้ายผู้ตายจนได้รับบาดเจ็บรุนแรงมีเลือดออกในช่องอกแล้วบังคับให้ผู้ตายลงไปนอนขดตัวภายในกล่องเหล็กทึบ ขนาดความกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร สูงประมาณ 45 เซนติเมตร และปิดฝากล่องคล้องด้วยกุญแจไว้ โดยผู้ตายอยู่ในสภาพนอนขดตัวงอเข่าชิดอกจนไม่สามารถขยับตัวหรือหายใจได้โดยสะดวก ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานขณะอยู่ภายในกล่องเหล็กทึบ แม้ผลการตรวจสภาพศพของแพทย์ไม่สามารถชี้ชัดว่าผู้ตายขาดอากาศหายใจ เนื่องจากศพมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากเสียชีวิตเป็นเวลานานทำให้อวัยวะภายในเสื่อมสลายก็ตาม การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตายอาจถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสอง และเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย

และการที่จำเลยบังคับให้ผู้ตายลงไปนอนขดตัวภายในกล่องเหล็กทึบขนาดเล็กจนผู้ตายถึงแก่ความตายในกล่องดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามฟ้อง สำหรับคดีส่วนแพ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นมารดาและบุตรของผู้ตาย จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199, 366/3 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 289(5), 310 วรรคสอง เมื่อเพิ่มโทษและลดโทษจำเลยตามกฎหมายแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและ ให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดง ย.201/2563, อ.1140/2563, ย.1831/2563 ของศาลอาญาธนบุรีด้วย และให้ริบของกลาง กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 1.7 ล้านบาท แก่มารดาผู้ตายโจทก์ร่วมที่ 1 และเงิน 1.2 ล้านบาท แก่บุตรผู้ตายโจทก์ร่วมที่ 2 ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดียาเสพติดสำนวนแรก หมายเลขแดง ย.201/2563 ศาลอาญาธนบุรี มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 18 มี.ค.63 ให้จำคุก 10 ปี 5 เดือน

ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดง อ.1140/2563 เป็นคดีพกพาอาวุธปืน และใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้ผู้เสียหายไปที่บ้านแล้วได้ลงมือกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งเหตุเกิดเมื่อปี 2562 ศาลอาญาธนบุรี มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.63 ให้จำคุก 11 ปี 4 เดือนและคดียาเสพติด หมายเลขแดง ย.1831/2563 จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 2,200 เม็ด และชนิดเกล็ด 1 ถุง น้ำหนักรวม 267.869 กรัม โดยศาลอาญาธนบุรี มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ม.ค.64 ให้จำคุก 25 ปีและปรับ 750,000 บาท