posttoday

อัยการแจง "สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ยังไม่ใช่ผู้ต้องหาคดีให้สินบน

09 ธันวาคม 2563

อัยการแจง "สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ยังไม่ใช่ผู้ต้องหาคดีให้สินบนเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินฯ เผยกองปราบฯสอบต่อตั้งคดีแยกต่างหาก ยอมรับ 2ผู้ต้องหาคดีแรกเรียกเงินจ่ายค่า "ล็อคผู้ใหญ่" 20 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 63 นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงกรณีการเสนอข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องและไม่ดำเนิน คดีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัทเรียลแอสเสท ดิวิลอปเม้นท์จำกัด ให้สินบนเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินส่วนพระ มหากษัตริย์จำนวน 20 ล้านบาท โดยคดีดังกล่าว เป็นคดีระหว่างนายอิศรา จารุวนิชกุล ผู้กล่าวหา และนายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ ผู้ต้องหาที่ 1 นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช ผู้ต้องหาที่ 2

ซึ่งถูกตั้งข้อกล่าวหา ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอก สารราชการปลอม และร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจ หรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยทุจริต หรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ เหตุเกิดมี.ค.-พ.ย.60 ต่อเนื่องในท้องที่แขวงดุสิต เขตดุสิต และแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง โดยคดีดังกล่าวศาลมีคำสั่งจำคุกผู้ต้องหาคนที่ 1 ,2 ไปแล้วเมื่อวันที่ 27 พ.ย.62

นายอิทธิพร กล่าวว่า เมื่อต้นปี 60 นายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาคนที่ 1และนายสุรกิจ ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ร่วมกันปลอมหนังสือราชการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 ฉบับ แล้วนำไปแสดงต่อนายสกุลธร ว่าสำนักทรัพย์สินฯมีที่ดินจะให้เช่าเพื่อทำธุจกิจ 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และในเขตสำนักงานใหญ่องค์การโทรศัพท์ชิดลม

นายสกุลธรสนใจจึงตกลงว่าจ้างนายสุรกิจ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้แทนดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ในวงเงินสัญญาจ้าง 500 ล้าน บาท เพื่อให้นายสุรกิจให้ติดต่อนายอิศรา โดยอ้างว่านำไปจ่ายค่าจ้างดำเนินการเพี่อ "ล็อคผู้ใหญ่" โดยมีการจ่ายเงินงวดแรกเมื่อเดือนม.ค. 60 จำนวน 5 ล้านบาท โดยให้นายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 1 นำไปให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินทำเอกสารปลอมและส่งให้นายสุรกิจนำไปให้นายสกุลธร เพื่อยืนยันว่าผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เช่าที่ดิน

"เมื่อวันที่ 5 พย.60 นายสกุลธร ได้จ่ายเงินให้อีก 5 ล้านบาท และมีการนัดทำสัญญาโดยระบุว่านายสกุลธรได้สิทธิเช่าที่ดินทั้ง 2 แปลง และขอให้ผู้ต้องหาที่ 2 เร่งดำเนินการ พร้อมกับออกเอกสารเชิญบริษัทฯให้เข้าร่วมประชุม จึงทำให้นายสกุลธร จ่ายเงินให้ผู้ต้องหาที่ 2 อีกจำนวน 10 ล้านบาท รวมจ่าย 3 ครั้งเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ปรากฎว่าเมื่อถึงวันนัดหมายได้มีการยกเลิกการประชุม นายสกุลธร จึงได้ทวงเงินคืน โดยผู้ต้องหาที่สอง ได้คืนเงินให้จำนวน 7 ล้านบาท"โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าว

นายอิทธิพร กล่าวว่า ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินฯทราบเรื่องจึงให้นายอิศราเข้าร้องทุกข์กับกองปราบฯและได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คน คือ นายสุรกิจและนายประสิทธิ์ ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 62 จำคุกจำเลยทั้ง 2 คนละ 6 ปีและลดโทษให้เหลือคนละ 3 ปี เนื่องจากจำเลยรับสารภาพให้การที่เป็นประโยชน์ โดยอัยการสำนักงานพิเศษฝ่าบปราบปรามการทุจริต 4 ได้เสนออัยการศาลสูงไม่อุทธรณ์ และได้ส่งสำนวนความเห็นคำสั่งไม่อุทธรณ์ไปที่ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งทางผบ.ตร เห็นชอบคำสั่งไม่อุทธรณ์คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษา

นายชาญชัย กล่าวด้วยว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีผู้ต้องหา 2 คนที่เกี่ยวข้องกับนายสกุลธร โดยอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองในความผิดฐานเรียกรับสินบน ส่วนนายสกุลธรอยู่ในฐานะพยาน แต่เมื่อปรากฏข้อมูลในศาลว่า นายสกุลธรอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ได้ตั้งสำนวนอีก 1 คดี และกำลังดำเนินการสอบสวนพฤติการณ์ของนายสกุลธรมีความผิดฐานให้สินบนหรือไม่ ซึ่งอัยการยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ ถ้าพนักงานสอบสวนทำสำนวนเสร็จและส่งให้อัยการแล้ว อัยการจึงสั่งสอบเพิ่มเติมได้ ดังนั้น ตามที่ปรากฏข่าวว่าอัยการไม่ดำเนินคดีหรือไม่สั่งฟ้องนายสกุลธรนั้น ไม่เป็นความจริง

ผู้สื่อข่าวถามมีการสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนหรือไม่ว่าปัจจุบันดำเนินการถึงไหน นายชาญชัย กล่าวว่ากระบวนการสอบสวนของตำรวจมีขั้นตอนเป็นอิสระ และเป็นคนละส่วนกับอัยการ ซึ่งอัยการไม่สามารถเข้าไปล่วงลูกได้ แต่สุดท้ายแล้วผลการสอบสวนของตำรวจจะต้องจะส่งมาให้อัยการทำความเห็นเช่นกัน

เมื่อถามต่อว่า คำพิพากษาของศาลในสำนวนแรกสามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดนายสกุลธรได้หรือไม่ นายชาญชัยกล่าวว่า ศาลวินิจฉัยได้เท่าที่มีการกล่าวหาหรือฟ้องร้องกัน ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกำลังทำการสอบสวนอยู่ และไม่สามารถนำคำพิพากษามาเป็นส่วนหนึ่งของพยานได้ แต่ข้อเท็จจริงเดียวกันสามารถตามพยานที่ปรากฏมารวบรวมพยานหลักฐานได้

ด้านนายประยุทธ กล่าวอีกว่า ข่าวที่ปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีนายสกุลธรมีความคลาดเคลื่อนเพราะนายสกุลธรยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในสำนวน หากจะถามว่าทำไมไม่แนะนำให้สอบเพิ่ม เนื่องจากพนักงานสอบสวนกำลังดำเนินการ จึงไม่สามารถก้าวก่ายได้ และประการสำคัญคำพิพากษาของศาลมีจำเลยเพียงแค่ 2 คน ซึ่งจำเลยรับสารภาพ จึงไม่มีการสืบพยาน ดังนั้น สำนวนคดีใหม่จะไม่อยู่ในคำพิพากษา