posttoday

ศาลตัดสินคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมโควิดช่วง7วันเคอร์ฟิว4,830คดี

10 เมษายน 2563

เลขาฯศาลยุติธรรมเผยศาลตัดสินคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯคุมโควิด-19ใช้ดุลพินิจคำนึงประโยชน์สาธารณะและไม่ละเลยสิทธิเสรีภาพของจำเลย

เมื่อวันที่ 10 เม.ย.63 นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 , พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ โดยศูนย์ข้อมูลคดี สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้รวบรวมสถิติคดีดังกล่าวภายหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. โดยไม่มีความจำเป็น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เม.ย.63 ที่ผ่านมา เพื่อลดการสัญจรของพี่น้องประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19

ซึ่ง สถิติคดีสะสมภายหลังประกาศเคอร์ฟิว 7 วัน (3 – 9 เม.ย.63) ในกลุ่มศาลอาญา , ศาลจังหวัด และศาลแขวง มีจำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณา ทั้งหมด 5,071 คดีพิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 4,830 คดี คิดเป็น 95.19 %

โดยข้อหาที่มีการกระทำความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำนวน 5,504 คนนั้น เป็นสัญชาติไทย 5,197 คน เเละสัญชาติอื่น 307 คน

ส่วนความผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีจำนวน 40 คน เป็นสัญชาติไทย 35 คน และสัญชาติอื่น 5 คน , ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จำนวน 1 คน เป็นสัญชาติไทย 1 คน

สำหรับจังหวัด ที่มีผู้กระทำความผิดสูงสุด 3 อันดับ ในความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อันดับ 1 คือกรุงเทพมหานคร จำนวน 334 คน , อันดับ 2 จ.ปทุมธานี จำนวน 303 คน, อันดับ 3 จ.ภูเก็ต จำนวน 255 คน

ส่วนความผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 อันดับ 1 คือ จ.ชลบุรี จำนวน 19 คน , อันดับ 2 จ.สมุทรสาคร จำนวน 11 คน , อันดับ 3 จ.บุรีรัมย์ จำนวน 3 คน

ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 นั้นมี จ.นราธิวาส จำนวน 1 คน

สำหรับการดำเนินคดีเกี่ยวกับกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัวนั้น ประกอบด้วย

1.คำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 322 คำร้อง โดยเป็นข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม ฐานผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำนวน 326 คน เป็นสัญชาติไทย 315 คน สัญชาติอื่น 11 คน และความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ จำนวน 3 คน เป็นสัญชาติไทยทั้ง 3 คน

ขณะที่ 2.ผลการตรวจสอบการจับจำนวน 331 คน พบว่าชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 329 คน โดยมีส่วนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 2 คน ตามหลักกฎหมายจึงต้องปล่อยตัวสำหรับ 2 คนดังกล่าวเพื่อเป็นคุ้มครองการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนตามกฎหมาย นายสราวุธ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลย ในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น แม้ว่าศาลจะคำนึงถึงสถานการณ์ความปลอดภัยสาธารณะในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ละเลยสิทธิและเสรีภาพของจำเลย ศาลจะบังคับใช้กฎหมายอย่างถึงที่สุด หรืออาจจะกักขังในเคหสถานโดยติดกำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เพื่อกำกับและติดตามความประพฤติตามคำสั่งศาล

ที่ผ่านมาส่วนควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับตรวจสอบ หรือจำกัดการเดินทางของบุคคลผู้ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยศาล หรือ “ศูนย์ EM” ได้จัดเวรผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ช่วงเวลากลางคืน ทำการตรวจสอบผู้สวมใส่กำไลข้อเท้า EM และได้ตรวจสอบพบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 5 – 9 เม.ย.63 ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. มีผู้สวมใส่กำไลข้อเท้า EM ใช้ความเร็วในการเคลื่อนไหวเกิน 40 กม./ชม. จำนวนทั้งสิ้น 143 คน ซึ่งหากพบว่ามีกรณีที่น่าจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาล ต้องเรียกมาไต่สวนหากผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวสามารถสั่งถอดกำไล EM ได้ จึงอยากย้ำเตือนให้เคารพกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันในการช่วยลดเชื้อเพื่อหยุดโรค