posttoday

“มีหน้าที่ทำดี ถ้าหวั่นไหวจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” เปิดใจแม่พระบ้านสุขใจรับดูแลน้องออมสิน

15 มกราคม 2563

แม่พระแห่งมูลนิธิบ้านสุขใจ “เพ็ญ-ชญาณ์พิมพ์ ชินปิติวงษ์” เปิดใจถึงการยื่นมือขอเป็นผู้รับอุปการะดูแลน้องออมสิน หลังถูกแม่ถอดทิ้งหน้าสถานสงเคราะห์ จ.ลพบุรี 

แม่พระแห่งมูลนิธิบ้านสุขใจ “เพ็ญ-ชญาณ์พิมพ์ ชินปิติวงษ์” เปิดใจถึงการยื่นมือขอเป็นผู้รับอุปการะดูแลน้องออมสิน หลังถูกแม่ถอดทิ้งหน้าสถานสงเคราะห์ จ.ลพบุรี 
 
********************************
โดย...รัชพล ธนศุทธิสกุล
 
ซึ่งไม่ใช่รายแรกที่เธอเข้ายื่นขออุปการะให้การช่วยเหลือ ตลอดระยะเวลา 20 ปี เด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งกว่าเกือบ 20 คน เติบและโตใหญ่เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใส บนถนน 146 ต.ตากฟ้า อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ที่ตั้งของ ‘มูลนิธิบ้านสุขใจ’ 
 
จากลูกสัปเหร่อทำหน้าที่ทั้งจัดการศพและมัคทายก “ชญาณ์พิมพ์ ชินปิติวงษ์” หรือ “แม่เพ็ญ” สาวสูงวัยอายุ 55 ปี จึงเต็มไปด้วยความเมตตาในจิต ชอบบริจาคและช่วยเหลือ เมื่อร่ำรวยเป็นเจ้าของโรงงานมีบ้านช่องใหญ่โต พบเห็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งก็จะนำมาเลี้ยงดู 
 
“บ้านเราก็ต้องหลังใหญ่ ถ้าเราแบ่งพื้นที่ให้เด็กและสร้างอนาคตเขา เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีดี มีศีลธรรม สังคมโลกใบนี้มันก็คงน่าอยู่ขึ้น” แม่พระแห่งมูลนิธิบ้านสุขใจ เผยถึงจุดเริ่มต้นในการอุปการะดูแลเด็กที่ไร้ครอบครัว แม้ว่าในครั้งนี้การเข้าขอรับอุปการะเด็กอย่างน้องออมสินจะทำให้เธอถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ

“มีหน้าที่ทำดี ถ้าหวั่นไหวจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” เปิดใจแม่พระบ้านสุขใจรับดูแลน้องออมสิน

ไม่ได้อยากดัง แต่คือหน้าที่

“พระอาทิตย์มีขึ้นมีลง เขามีหน้าที่ของเขา เราเกิดมาก็มีหน้าที่ของเรา คำพวกนี้อาจจะเป็นเมฆก่อนหนึ่งที่บังพระอาทิตย์ชั่วขณะหนึ่ง สักพักเขาก็จะละลายหายไป เรามีหน้าที่ทำดี เราก็ไม่หวั่นไหว ถ้าหวั่นไหวอ่อนแอ เราจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” แม่พระแห่งมูลนิธิบ้านสุข เผยความรู้สึกที่ไม่ต่อว่าคนที่ว่ากล่าวหาตน เพราะถือว่าคือคนที่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นตลอดระยะเวลา 20 ปี ได้ช่วยเหลือเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งกว่าเกือบ 20 คนให้กลับมามีชีวิตที่ดีได้รับการศึกษาและบางคนไปไกลถึงขั้นนักกีฬาทีมชาติ   
 
“เห็นข่าวน้องแล้วและวันนี้จะไปทำธุระที่ จ.ลพบุรี ก็เลยไปที่โรงพักไปดูว่าแม่เขามีคดีหรือไม่ เนื่องจากตามกฎหมายถ้าแม่มีคดี การจะขออุปการะเลี้ยงดูต้องไปยื่นเรื่องที่โรงพัก” เธออธิบาย
 
ต่อมาเมื่อเดินทางไปถึงโรงพักพบกับนักข่าวที่มารอทำข่าวโจรปล้นร้านทองโดยบังเอิญซึ่งเมื่อได้ติดต่อเจ้าหน้าที่แจ้งจุดประสงค์จะมายื่นเรื่องรับดูแลน้องเด็กผู้หญิงถูกทิ้งก็เลยกลายเป็นข่าว
 
“ป้าค่อยๆ เดินไปขึ้นไปก็มีถามกันว่ามาทำอะไร ก็ตามประสาคนแก่พูดบอกว่าจะมาดูคดีเด็กถูกทิ้ง จะเอาเด็กไปเลี้ยง ก็เลยเป็นข่าว แต่จริงแล้วตอนนี้ยังไม่ได้รับมาอุปการะดูแล แค่ไปยื่นทำเรื่องเท่านั้น ต้องรอกระบวนการตัดสินว่าจะเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่” 

“มีหน้าที่ทำดี ถ้าหวั่นไหวจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” เปิดใจแม่พระบ้านสุขใจรับดูแลน้องออมสิน

ใช้คุณธรรมคืนเด็กสู่สังคม

แม่พระมูลนิธิบ้านสุขใจ บอกว่า วัตถุประสงค์ของการช่วยเหลือเด็กๆที่ถูกทอดทิ้งหลายต่อหลายคนที่ผ่านมาเน้นหลักคือ ‘การปลูกฝังคุณธรรม’ เพราะเมื่อเด็กมีหัวใจที่ดีทุกสิ่งอย่างที่ทำก็จะดีตามมา
 
“เงินมันไม่ใช่ตัวหลักปัญหา ความรู้ก็ไม่ใช่ เราจบป.6 ทำไมเราสร้างธุรกิจได้ใหญ่โต คิดอย่างเดียวทำอย่างไรให้เขามีคุณธรรม เราต้องให้คุณธรรมเขาไปก่อน เรื่องเรียน เรื่องอาชีพ เราค่อยๆ ดูไปๆ ว่าคนนี้เหมาะกับอะไร จะทำอะไร”
 
แตกต่างจากเด็กจบสูงดีกรีปริญญาตรีเมืองนอก แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในศีลธรรม ขยันหมั่นเพียร ก็อยู่ไม่ได้ กลับกันหากถ้าประตูบานแรกของเด็กคือศีล 5 ข้อ เปิด เขาสามารถที่จะอยู่กับใครก็อนุเคราะห์ให้การช่วยเหลือและรู้จักใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แล้วอยู่อย่างมีคุณค่า แม่พระมูลนิธิบ้านสุขใจยกตัวอย่าง
 
“ตอนนี้ทุกๆ 2 ปี แม่เพ็ญก็จะรับเลี้ยงเด็ก 2 คน ไม่ได้เลือกเด็ก ที่บ้านน้องที่ร่างกายปกติแค่ 2 คน นอกนั้นเป็นเด็กพิเศษ เพราะพอเราเริ่มรับ คนรู้บางทีก็หอผ้ามาทิ้งลูกไว้หน้าบ้านบ้าง 10 กว่าปีที่แล้วปีนั้นปีเดียวมี 5 คน แต่อย่างก็ที่บอกเดินทางไปทำธุระพอดี เคสน้องออมสินเลยเป็นเคสแรกที่ยื่นมือเข้าไปขอ” 

“มีหน้าที่ทำดี ถ้าหวั่นไหวจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” เปิดใจแม่พระบ้านสุขใจรับดูแลน้องออมสิน

“มีหน้าที่ทำดี ถ้าหวั่นไหวจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” เปิดใจแม่พระบ้านสุขใจรับดูแลน้องออมสิน

ไม่ทอดทิ้งแม้ยามไม่มี เพราะเราคือครอบครัว

“ตอนที่เราไม่เหลืออะไรเลย ปี2551 เหลือเงินติดตัว 3 บาท ต้องเซ็นชื่อให้ศูนย์สงเคราะห์รับช่วงต่อเพราะเขามองว่าดูแลไม่ไหว แต่วันรุ่งขึ้นถึงเวลา 2 เดือน ลูกบุญธรรมไปเปิดหนังเรื่องหนึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวที่บังเอิญตกมาที่โลก นิสัยร้าย เผาบ้านคนรับเลี้ยง แต่ตัวเอกที่รับเลี้ยงพูดคำเดียวว่า ครอบครัวเราจะไม่ทอดทิ้งกันและลืมกันเด็ดขาด 
 
“เด็กร้ายขนาดนั้นยังไม่ทิ้งเลย แล้วลูกเราก็ไม่เลวร้ายเท่าขนาดนั้น ก็ตั้งสติได้เลยทันที เราจะทิ้งเขากันได้ยังไง” แม่พระแห่งมูลนิธิบ้านสุขใจแม้ว่าตอนนี้จะไม่รวยเท่าแบบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่เป็นถึงเจ้าของโรงงานต่อรถเกี่ยวข้าวและขายอุปกรณ์อะไหล่ แถมชีวิตก่อนหน้ายังลำบากไต่เต้ามาจากชาวนา ทำนาจากซื้อรถเกี่ยวข้าวเพียง 1 คัน ที่ย่านไทรน้อย จ.นนทบุรี ก่อนที่กว่าจะลืมตาอ้าปากขยับขยายกระทั่งเปิดร้านขายอะไหล่รถเกี่ยวและมีโรงงานเป็นของตัวเอง แต่แทนที่จะนึกถึงตัวเองก่อนแต่ก็ยังคงเลือกช่วยเหลือเด็กๆ เมื่อมีโอกาส เพราะเด็กๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าทำให้สังคมนี้น่าอยู่ขึ้นได้หากช่วยเหลือกัน 
 
“ช่วงที่พอมีฐานะก็บริจาคเงินตามโรงเรียนเพราะเราจน เรารู้เราไม่ได้เรียนหนังสือมาก เข้าไปมูลนิธิเห็นเด็กๆ เขาก็รู้สึกว่าบ้านเราก็ต้องหลังใหญ่ ถ้าเราแบ่งพื้นที่ให้เด็กและสร้างอนาคตเขาได้ น่าจะดี จากนั้นได้ยินข่าวมีเด็กถูกทิ้งที่แถวอ.กระทุ่มแบน ก็เลยไปรับมาดูแลคนแรก ตอนนี้เขาอายุ 20 แล้ว ทำงานดูแลตัวเองและพ่อเขาที่ไม่มีใครดูแลได้ การที่เรารับมาดูแล ให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีดีมีศีลธรรม สังคมโลกใบนี้มันก็คงน่าอยู่ขึ้น” 
 
แม่พระแห่งมูลนิธิบ้านสุขใจกล่าวทิ้งท้ายถึงตรงนี้จะมีบางคนที่ไม่เข้าใจเธอก็ยังคงยืนยันคำเดิม “บริสุทธิ์ใจ” 
 
“อะไรที่บริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์ นาฬิกามุมหนึ่งก็คือเพชฌฆาต แต่อีกมุมหนึ่งก็คือกระบอกเสียง วันหนึ่งมันก็จะพิสูจน์เอง”

“มีหน้าที่ทำดี ถ้าหวั่นไหวจะยืนหยัดทำดีได้อย่างไร” เปิดใจแม่พระบ้านสุขใจรับดูแลน้องออมสิน