posttoday

ยกฟ้อง!! "สันธนะ-พวก"ไม่ผิดคดีกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าตลาดใหม่ดอนเมือง

17 ธันวาคม 2562

ศาลยกฟ้องสันธนะ พร้อมพวกอีก 10 คน ไม่ผิดคดีกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าตลาดใหม่ดอนเมือง เจ้าตัว จ่อฟ้องกลับ

ศาลยกฟ้องสันธนะ พร้อมพวกอีก 10 คน ไม่ผิดคดีกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าตลาดใหม่ดอนเมือง เจ้าตัว จ่อฟ้องกลับ

ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ชี้ หลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้มีการข่มขู่ จ่ายเป็นเดือนค่า รปภ.-ทำความสะอาด รูปแบบธุรกิจพึ่งพาอาศัยกันและกัน ขณะที่เจ้าตัวเล็งฟ้องกลับ 3 ฝ่าย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ธ.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  ศาลนัดคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1951/2561 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นายสันธนะ หรือพ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์  (ถูกถอดยศ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.61)  อายุ 60 ปี อดีตรอง ผกก. สันติบาล 2 ในฐานะประธานที่ปรึกษา บริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จำกัด , นายชนะโชติ หรือตั๋ม สุขสุคนธ์ อายุ 41 ปี , นายวรรณชัย หรือแก้ว ใจเรือง อายุ 37 ปี , นายวันเพ็ญ ผิวดำดี อายุ 52 ปี , นายสิริชัย หรือชัย เหล่ากุลประสิทธิ์ อายุ 66 ปี , นายประนอม หรือนอม แก้วสวัสดิ์ อายุ 60 ปี , นายกฤษณะ หรือตั้ม หลำรอด อายุ 42 ปี , นายคเณศ หรือต้น เปรมครุฑ อายุ 43 ปี , นายอดิศักดิ์ หรือโต้ง จันทร์ศรี อายุ 40 ปี , นายอนุชา หรือทอม วรเดช อายุ 54 ปี และนายอนุ หรือตุ๋ย สุขสุคนธ์ อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นพนักงานตลาดลูกน้องของพ.ต.ท.สันธนะ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความฐานความผิดร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าในตลาด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 337 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และ ความผิดฐานซ่องโจร ตาม ม.210 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยอัยการยื่นฟ้อเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.61 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างเดือน ม.ค. - เม.ย.59 จำเลยทั้งสิบเอ็ด ได้สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปจับกลุ่มปรึกษากันและตกลงกันเพื่อจะไปร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ผู้เสียหาย 19 รายซึ่งเป็นผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมือง โดยพวกของจำเลยแบ่งออกเป็นกลุ่มประมาณ 3-5 คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปที่ร้านค้า มีการเรียกเก็บเงินรายเดือนจากผู้ค้าขายที่เช่าพื้นที่ในตลาดใหม่ดอนเมืองประมาณร้านละ 1,000-3,000  บาทต่อเดือน ร่วมทั้งค่าจอดรถยนต์อีกเดือนละ 700 บาท ส่วนรถจักรยานยนต์ 300 บาท ซึ่งจะเรียกเก็บเงินดังกล่าวของทุกเดือนในปลายเดือน โดยพวกจำเลยมีพฤติกรรมลักษณะข่มขู่คุกคามผู้ค้าขายจนทำให้เกิดความหวาดกลัว หากไม่ยอมจ่ายเงินและอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในการค้าขาย แต่ละรายหลายคราว หลายกรรมต่างกันรวมจำเลยทั้ง 11 รวมกันกรรโชกทรัพย์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 750,000 บาท

วันนี้จำเลยทั้ง 11 คนซึ่งได้รับการประกันตัวคนละ 300,000 บาท เดินทางมาฟังคำพิพากษาอย่างพร้อมเพียง

ขณะที่ ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้ว คดีนี้มีผู้เสียหาย 16 ใน 19 ราย ขึ้นเบิกความศาลแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 , 2 , 3 ต่างเบิกความยืนยันถึงการเรียกเก็บเงินของกลุ่มจำเลย ตามที่มีการเรียกเก็บมีระยะเวลาต่อเนื่องนานนับปี และผู้เสียหายทั้งสามล้วนแต่เคยจ่ายให้ผู้ที่มาเรียกเก็บซึ่งอยู่ในทีมชุดบริหารชุดก่อน ทุกครั้งที่มีการเรียกเก็บกลุ่มของจำเลยไม่ได้พกพาอาวุธไม่เคยพูดจาใด ๆ อันเป็นการข่มขู่เพื่อให้จ่ายเงินภายหลังจ่ายเงินตามที่มี การเรียกเก็บแล้วยังมีการจัดทำเอกสารเพื่อใช้เป็นหลักฐานเรียกเก็บเงิน โดยแท้จริงซึ่งเอกสารหลักฐานการรับเงินระบุจำนวนเงินถูกต้องตามที่ผู้เสียหายทั้งสามเบิกความ โดยแต่ละฉบับระบุเล่มและเลขที่แตกต่างกันไป

สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 9 ,12 , 13 และพยานปากอื่นที่มีการจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกเก็บ ต่างเต็มใจจ่ายเงินตามที่มีการเรียกเก็บ โดยนายสุชาติ โชว์วิวัฒนา ประธานผู้บริหารโครงการตลาดใหม่ดอนเมือง เบิกความยืนยันว่าแต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นที่ปรึกษาของตนและมอบหมายให้จำเลยที่ 2-11 ซึ่งเป็นพนักงานของตนไปเก็บเงินดังกล่าว ด้วยตนเองเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายว่าจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยและพนักงานรักษาความสะอาด นายสุชาติเป็นผู้บริหารของโครงการตลาดใหม่ดอนเมืองย่อมมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงในการดูแลกิจการค้าขายการเก็บเงิน จึงอยู่ในความรู้เห็นของนายสุชาติสอดคล้องกับที่ผู้เสียหายกับผู้ประกอบการร้านค้าเบิกความรับว่าต่างได้รับประโยชน์ตอบแทนให้การค้าขายเป็นไปโดยราบรื่น ไม่ได้ถูกข่มขู่หรือบังคับจากกลุ่มของจําเลย การเรียกเก็บเงินของกลุ่มจำเลยจึงเป็นรูปแบบการประกอบธุรกิจที่ต่างคนต่างถือเอาประโยชน์พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ขณะที่ ผู้เสียหายในคดีนี้ และผู้ประกอบการร้านค้าอีกหลายปาก ต่างเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นภายในโครงการตลาดใหม่ดอนเมือง โดยไม่ปรากฏมีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่กลุ่มของจำเลยเรื่องการกรรโชกทรัพย์มาตั้งแต่ต้น แต่เพิ่งมีการร้องทุกข์ดำเนินคดีจำเลยที่ 1 – 11 ภายหลังจากการเข้าตรวจค้นของตำรวจเกี่ยวกับการขายสินค้าที่อาจจะไม่ได้มาตรฐานหรือผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการตรวจค้นดังกล่าวคงไม่มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งหมด จึงเป็นการผิดวิสัยบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ร้องทุกข์ตั้งแต่ต้นแต่ยังคงมีการจ่ายเงินนานนับปี ทั้งที่ถูกกรรโชกทรัพย์ด้วยการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย  และไม่ได้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษ มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียเงินในแต่ละเดือนตลอดไปอีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้พอฟังลงโทษจำเลยที่ 1-11 ได้ พิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังนายสันธนะ และพวกฟังคำพิพากษาแล้ว นายสันธนะ จำเลยที่ 1 ได้ยกมือไหว้ศาลภายในห้องพิจารณาคดีก่อนจะเดินทางกลับ

นายสันธนะ เปิดเผยก่อนเดินทางขึ้นศาลฟังการพิจารณาคดีว่า วันนี้จำเลยมาครบทุกคน ตนติดตามพิจารณาคดีจึงมีความมั่นใจ แต่ต้องเผื่อใจไว้ระดับหนึ่ง เนื่องจากกระบวนการพิจารณา มีความพยายามจะแทรกแซงเข้ามาพอสมควร อีกทั้งคำเบิกความของตน มีการกล่าวอ้างถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาลอีกหลายคนซึ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในคดีที่ยัดเยียดข้อหาให้ตน อย่างไรก็ตามตนเองก็เคยเป็นตำรวจมาก่อนเรื่องกฎหมายกระบวนการพิจารณา ตนก็นั่งฟังการเบิกความพยานปากสำคัญมาตลอด การสืบพยานหลายสิบปากของโจทก์ที่มีแต่ตำรวจซึ่งเกี่ยวข้องในคดีมาเบิกความและก็กล่าวหา แต่พยานปากอื่นๆ ไม่เคยมีใครพูดว่าติดใจหรือมากล่าวหาในคดีกระทั้งถึงวันนี้เลย

เมื่อถามว่าหากมีการยกฟ้องในวันนี้จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายสันธนะ เปิดเผยว่า ตนพูดแต่แรกเหมือนประชาชนทั่วไปในสังคมว่าหากไม่ได้กระทำผิดแล้วมีวันหนึ่งเจ้าหน้าที่รัฐมากล่าวหา สังคมจะให้ตนหยุดนิ่งหรือ ตนต้องต่อสู้แต่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อตนเอง สู้เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าหากเกิดความอยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคมโดยเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้านิ่งเฉยยอมรับ หรืออย่างที่พูดกันว่าอยู่เป็น ตนเตรียมไว้แล้วว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาเสร็จ ตนจะขยายผลกับผู้เกี่ยวข้อง 3 ระดับคือ ผู้ใช้อำนาจรัฐที่สั่งการ ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐคอยกำกับการสนองคำสั่งผู้มีอำนาจรัฐ สุดท้ายคือเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปฏิบัติการที่รู้เป็นอย่างดีว่าเป็นคำสั่งโดยมิชอบแต่ยังใช้อำนาจหน้าที่ที่สังคมประชาชนมอบความไว้วางใจ นำมากลั่นแกล้งประชาชนคนทั่วไป แต่พวกคุณมาทำผิดคน มาทำกับตน ซึ่งตนจะต่อสู้ จึงเป็นที่แน่นอนว่าตนจะฟ้องกลับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคดีนี้แล้วเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.61 ศาลแขวงดอนเมืองได้พิพากษายกฟ้องนายสันธนะ ในคดีที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวง 9 (ดอนเมือง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการ ตามหน้าที่ มวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำปรับ และผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่ฯ ตามมาตรา 138 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำปรับ กรณีกล่าวหานายสันธนะว่าเมื่อวันที่  3 พ.ค.61เวลากลางวัน ได้เดินเข้าไปในเส้นแถบกั้นพื้นที่ของศูนย์ที่เจ้าหน้าตำรวจชุดปฏิบัติการตรวจค้นการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องสำอางและอาหารเสริม แล้วยังแสดงอากัปกิริยา-วาจาลักษณะว่ามีอำนาจ ข่มขู่เจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้สามารถปฏิบัติงานได้ โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วปรากฏว่าจำเลยไม่ได้กระทำการขัดขวางเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติงาน โดยขณะเกิดเหตุจำเลยเพียงแสดงกิริยาใช้เสียงดังเท่านั้น