posttoday

หาบเร่แผงลอยเฮ!ผู้ว่าฯกทม.ยอมคืน 900 จุดให้ขายของได้เหมือนเดิม

04 ธันวาคม 2562

หาบเร่แผงลอย 2 แสนรายได้พื้นที่ขายคืน 900 จุด ผู้ว่าฯกทม.มอบของขวัญปีใหม่หลัง กมธ.เหลื่อมล้ำฯ วุฒิสภาไปหารือยก 6 เหตุผลความจำเป็นต้องมี"สังศิต พิริยะรังสรรค์" ชูจุดเด่น street food ฟื้นเศรษฐกิจซบเซาได้

หาบเร่แผงลอย 2 แสนรายได้พื้นที่ขายคืน 900 จุด ผู้ว่าฯกทม.มอบของขวัญปีใหม่หลัง กมธ.เหลื่อมล้ำฯ วุฒิสภาไปหารือยก 6 เหตุผลความจำเป็นต้องมี"สังศิต พิริยะรังสรรค์" ชูจุดเด่น street food ฟื้นเศรษฐกิจซบเซาได้

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ (กยล.) วุฒิสภา ได้โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว “สังศิต พิริยะรังสรรค์” ว่า ได้นำคณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ (กยล.) ประกอบด้วย นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ นายขวัญชาติ วงศ์ศุภรานันต์ และทีมงานเข้าพบ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. เพื่อหารือเรื่องประกาศการยกเลิกจุดผ่อนปรนตามริมถนนและทางเท้าของบรรดาแม่ค้าหาบเร่ทั่ว กทม.

โดยเฟซบุ๊กระบุว่า “ของขวัญปีใหม่ 2563 สำหรับแม่ค้าทั่วกรุงเทพมหานคร” วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ (กยล.) ได้ขออนุญาตเข้าพบท่านผู้ว่ากทม.ที่ศาลาว่าการเพื่อขอหารือเรื่องประกาศการยกเลิกจุดผ่อนปรนตามริมถนนและทางเท้าของบรรดาแม่ค้าหาบเร่ทั่ว กทม.ภายในวันที่ 31 ธันวาคม ศกนี้ โดยขณะนี้ กทม.ได้ยกเลิกจุดผ่อนปรนไปแล้วกว่า 900 จุด ส่งผลกระทบต่อผู้ค้ากว่า 2 แสนรายและผู้บริโภคราว 5-6 ล้านคน

ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา กยล.ได้มอบหมายให้ อนุ กมธ.ด้านสังคมที่มี นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เป็นประธานให้ศึกษาผลกระทบของนโยบายข้างต้น ทั้งด้านบวกและด้านลบ รายงานเรื่องนี้ได้นำเข้าสู่การประชุมของ กยล.แล้วถึงสองครั้ง ขณะนี้อยู่ในช่วงปรับปรุงครั้งสุดท้ายเพื่อนำเสนอต่อคณะ กมธ.วิสามัญกิจการวุฒิสภา( วิปสภา) ต่อไป ผมได้อ่านงานชิ้นนี้แล้วอย่างละเอียดและได้มองเห็นผลกระทบด้านลบจำนวนมากที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะตามมาอีกมากมายทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม

ดังนั้นการหารือกันในครั้งนี้ผมตระหนักดีถึงเดิมพันที่จะมีต่อชะตากรรมของผู้คนหลายล้านคน และต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของไทยด้วย โดยส่วนตัวแล้วท่านผู้ว่ากับผมรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมานานกว่า 20 ปีแล้ว และเรายังมีโอกาสพบปะและร่วมงานกันเป็นระยะ ดังนั้นเราจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าและเราต่างรู้จักนิสัยใจคอกันดีพอประมาณ

ท่านผู้ว่าเริ่มต้นจากการกล่าวถึงความจำเป็นต้องใช้นโยบายเรื่องการยกเลิกหาบเร่ ด้วยเหตุผล 6 ประการคือ 1.หาบเร่เป็นอุปสรรคต่อผู้สัญจรทางเท้าราว 3 ล้านคน 2.หาบเร่เป็นเหตุแห่งความไม่ปลอดภัยในการจราจร 3.นโยบายของท่านเน้นที่กรุงเทพชั้นในและถนนสายหลักเท่านั้น ท่านไม่ได้ต้องการแตะต้องแม่ค้าหาบเร่ตามตรอกซอกซอยแต่อย่างใด 4.ท่านผู้ว่ากำลังจะเพิ่มพื้นที่ขายของบนทางเท้าของถนนเยาวราช

5.ท่านได้เปลี่ยนแปลงเวลาขายของที่ถนนข้าวสารจากเดิมจาก 18.00 น.เป็น 15.00 น. 6.ท่านจะเปิดให้ถนนสีลมและถนนเยาวราชเป็นถนนคนเดินในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม ศกนี้ โดยจะมีท่านนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธาน และในวันอาทิตย์ที่ 22 เดือนเดียวกันจะมีท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณมาเป็นประธานเปิดงานอีกครั้งที่สีลม หลังจากนั้นถนนคนเดินทั้งสองสายจะจัดเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ และถนนคนเดินแบบเดียวกันนี้จะขยายไปทุกเขต และรัฐบาลจะขยายนโยบายนี้ออกไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศด้วย ผมยอมรับและเห็นด้วยกับนโยบายของท่านผู้ว่าทุกประการ

แต่ผมช่วยเสริมเหตุผลของนโยบายนี้ของท่านผู้ว่าให้รอบด้านมากขึ้นคือ 1.ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการทุกคนที่มองแยกเศรษฐกิจที่เป็นทางการ (formal sector)กับเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ (informal sector) ออกจากกัน และให้ความสำคัญเฉพาะกับเศรษฐกิจที่เป็นทางการเท่านั้น ทฤษฎีนี้เห็นว่าการทำลายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการจึงไม่มีนัยยะใดๆต่อเศรษฐกิจมหภาคเลย แตกต่างจากวิธีการมองข้างต้น

ผมเห็นว่าเราควรมองว่าเศรษฐกิจทั้งสองภาคมีความสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกันและพึ่งพาอาศัยกันอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างเช่น พนักงาน ข้าราชการลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการต่างก็ใช้บริการอาหารราคาถูกส่วนใหญ่จากเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการอยู่แทบทุกวัน เพราะฉะนั้นการขจัดแม่ค้าหาบเร่ออกไปจากพื้นที่สาธารณะ จะทำให้พนักงาน ลูกจ้างและข้าราชการมีค่าใช้จ่ายด้านอาหารสูงขึ้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาจะมีอำนาจในการซื้อในระบบเศรษฐกิจลดลง ในขณะเดียวกันแม่ค้าหาบเร่นับแสนคนกลายเป็นคนว่างงานโดยไม่สมัครใจ เศรษฐกิจฐานรากอ่อนแอลงและพลอยดึงกำลังซื้อโดยรวมของสังคมให้ลดลงตามไปด้วย เพราะฉะนั้นผมเห็นว่านโยบายของท่านผู้ว่าควรมีมิติด้านการส่งเสริมการมีงานทำ และเรื่องปากท้องของแม่ค้าหาบเร่เพิ่มเติมด้วย

2.จากผลการสำรวจนักท่องเที่ยวทั่วโลกขององค์การท่องเที่ยวนานาชาติพบว่า street food ของไทยอยู่ในอันดับที่ 1 ถึง 10 ปีติดต่อกัน เหตุผลที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบอาหารไทยบนทางเท้ามากที่สุดคือ รสชาติอร่อยและราคาถูก ดังนั้นการยกเลิก street food จึงเป็นการทำลายจุดแข็งของการท่องเที่ยวไทยไป รัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของไทยท่านหนึ่งเพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเวลานี้เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยทำงานได้เพียง 2 เครื่องเท่านั้นคือการบริโภคและการท่องเที่ยว

3.เราควรปรองดองผลประโยชน์ (harmonization) ระหว่างผู้เดินบนทางเท้ากับแม่ค้าหาบเร่ได้ด้วยการกำหนดว่าพื้นที่บนทางเท้าสำหรับประชาชนทั่วไปต้องไม่น้อยกว่า 2 เมตร เช่นหากทางเท้ากว้าง 4 เมตร คนเดินเท้ากับแม่ค้าจะได้พื้นที่ฝ่ายละ 2 เมตร แต่ถ้าพื้นที่ทางเท้ากว้าง 3.5 เมตร คนเดินเท้าจะได้พื้นที่ 2 เมตรส่วนแม่ค้าได้พื้นที่ 1.5 เมตร เป็นต้น

4.การฟื้นคืนชีพของแม่ค้าหาบเร่ยุคใหม่ต้องสะอาด ถูกสุขอนามัย เป็นระเบียบและเป็นพื้นที่ๆสร้างเสน่ห์ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ มีความสวยงามด้วยในแต่ละพื้นที่จะต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการของแม่ค้าเพื่อคอยช่วยเหลือและควบคุมจัดการกันเองในด้านความมีระเบียบและช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการไม่ทิ้งของเสียลงท่อระบายน้ำ เป็นต้น

5.การบริหารจัดการหาบเร่ในแต่ละเขตและในแต่ละพื้นที่ ต้องคำนึงถึงพื้นที่บนทางเท้าเป็นสำคัญ ดังนั้นรูปแบบของหาบเร่ยุคใหม่อาจมีอย่างน้อยที่สุด 3 รูปแบบคือ 1)หาบเร่แบบดั้งเดิมหากพื้นที่ทางเท้าพอเพียง 2) หากพื้นที่ไม่พอเพียง เราอาจใช้การสร้างครัวกลาง โดยอาศัยการเช่าพื้นที่ของเอกชน การเช่าตึกแถวหรือการเช่าครัวของโรงเรียนในกทม. ในกรณีนี้รูปแบบการขายจะเป็นแบบออนไลน์และการใช้มอเตอร์ไซค์รับจ้างส่งอาหารเป็นหลัก และ 3) การใช้ food trucks ในกรณีนี้แต่ละเขตจะกำหนดเวลาและสถานที่ให้ ส่วน food truck อาจเป็นรถมือสองและขอสินเชื่อจากธนาคารออมสิน เป็นต้น

6.กทม.จะช่วยวางระบบการสั่งสินค้าทางออนไลน์ให้แก่แม่ค้าเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจให้แก่แม่ค้ามากยิ่งขึ้น เราจะช่วยส่งเสริมการขายไปยังสำนักงานต่างๆโดยถือว่าเป็นงาน CSR ของบริษัทได้ด้วย

ภายหลังจากที่ผมได้นำเสนอแนวคิดข้างต้นจบลง ท่านผู้ว่าได้กล่าวขอบคุณ กยล.และเห็นชอบด้วยกับความคิดดังกล่าวทุกประการ และเราเห็นชอบร่วมกันที่จะมอบการฟื้นคืนชีพของแม่ค้าหาบเร่ทั่ว กทม.ให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่พี่น้องคนเล็กคนน้อยเหล่านี้โดยไวที่สุด ท่านให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดส่งแผนที่และขนาดของทางเดินเท้าให้แก่ผมภายในวันพุธ (คือวันนี้) และก่อนที่ผมจะเขียนบันทึกความจำฉบับนี้จบลง เจ้าหน้าที่ กทม.ก็ได้นำเอกสารที่กล่าวถึงข้างต้นมาให้ผมเรียบร้อยแล้วครับ

ผมใคร่ขอขอบคุณท่านผู้ว่า กทม. พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง กยล.อนุกมธ.และคณะทำงานเรื่องหาบเร่ทุกท่านที่ช่วยกันคิดช่วยกันทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนคนไทยครับ”