“ภูวนัย ภัทรโภคิณ” สตาร์ทอัพอสังหาฯ เบอร์ต้นผู้มาจากเซียนไพ่บอด
เด็กกำพร้า ขาดทุนทรัพย์และการยอมรับจากครอบครัว เพียรอ่านหนังสือจนจบวิศวะ 3 ปีให้หลังเป็นนักอสังหาฯ ระดับท็อป 4 ปีต่อมาสร้างบริษัทสตาร์ทอัพ ‘Livinginsider’ เว็บไซต์ประกาศขาย-เช่า ‘บ้านและคอนโด’ ดีที่สุดของเมืองไทยเว็บไซต์หนึ่งตอนนี้
เด็กกำพร้า ขาดทุนทรัพย์และการยอมรับจากครอบครัว เพียรอ่านหนังสือจนจบวิศวะ 3 ปีให้หลังเป็นนักอสังหาฯ ระดับท็อป 4 ปีต่อมาสร้างบริษัทสตาร์ทอัพ ‘Livinginsider’ เว็บไซต์ประกาศขาย-เช่า ‘บ้านและคอนโด’ ดีที่สุดของเมืองไทยเว็บไซต์หนึ่งตอนนี้
*****************************
โดย…รัชพล ธนศุทธิสกุล
โดยมีเพจวิวสูงถึงเดือนละ 2 ล้าน 5 แสน มียูสเซอร์เข้าใช้งานกว่า 6 แสนคนต่อเดือน
ใครที่กำลังท้อแท้ ผิดหวังหรือล้มเหลว มุมมองความคิดนี้อาจจะช่วยคุณได้
และนี่คือเส้นทางของ “ตาล-ภูวนัย ภัทรโภคิณ” นักธุรกิจหนุ่มในวัย 37 ปี ค่อยๆ เติบและโตพลิกชีวิตจากศูนย์ น็อคเอาท์ความล้มเหลวชีวิต สูดลมหายใจผู้ชนะธุรกิจด้วย ‘ไพ่’ ‘ฟองน้ำ’ และ ‘การมอง’
สับศูนย์ให้เป็นร้อย
“Livinginsider เปิดปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้ว ถือว่าเป็นเบอร์ต้นของเมืองไทย เดือนหนึ่งมีคนเข้าใช้ 6 แสนต่อเดือน ส่วนเพจวิวประมาณเดือนละ 2.5 ล้าน คือเข้ากูเกิลเสิร์ชหา เช่าบ้าน ขายคอนโด เป็นต้องเจอ” สตาร์ทอัพหนุ่มเชียงใหม่วัย 37 กล่าวสั้นๆ อย่างคนเข้าใจความสำเร็จในวันนี้ว่าเรื่องงานหรือชีวิต การที่จะ ‘ประสบความสำเร็จ’ ต้องอาศัยทั้งอุปสรรคปัญหาและความเคี่ยวกร่ำหล่อหลอมจนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง
“ชีวิตมันไม่มีทางลัด จะสร้างตัวสร้างชีวิต ก็ต้องโดนกดดันกันมาก่อน เหมือนเป็นภูมิคุ้มกันร่างกาย” เขาบอก ก่อนจะเล่าต่อถึงภูมิคุ้มตัวเองได้เริ่มขึ้นเมื่อตอนเขาอายุได้เพียงแค่ 3 ขวบ หลังพ่อเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง แม่ซึ่งเป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงานจึงไม่มีเงินเลี้ยงดู เขาเลยต้องไปอาศัยอยู่กับน้าสาวที่โคราช
“เจอแม่ 2 ปี หน ก็เลยเป็นเด็กค่อนข้างมีปัญหา มองว่าไม่มีใครรัก เวลาทำงานบ้านเสร็จก็จะไปเข้าห้องเอาหนังสือเรียนลูกพี่ลูกน้องที่เรียนเขาเรียนก่อนมาให้วาดรูปเล่นตามเรื่อยจินตนาการณ์ แต่พอวาดบ่อยเข้า มันผ่านตาก็กลายเป็นอ่าน ถึงเวลาสอบผลได้ที่ 1 จากไม่รู้ว่าการยอมรับเป็นไง เพื่อนๆ ก็ชมชอบ ให้มาสอน น้าก็เอาไปบอกลูก รู้สึกว่าการเรียนเก่งมันทำให้คนยอมรับ อย่างน้อยๆ ยอมรับในเรื่องของการเรียนก็ยังดี”
ตั้งแต่นั้นในระดับชั้นประถมยันมัธยมปลาย ภูวนัยสอบได้ที่ 1 ตลอดและได้โควตาวิศวะเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตร วิทยาเขตบางเขน และระยะเวลา 4 ปี ช่วง พ.ศ. 2545 จบออกมากินเงินเดือน 15,000 บาท ในทันที
ขณะที่ปีต่อมาได้ผันตัวเองเป็นนักอสังหาริมทรัพย์และในเวลาแค่ 3 ปีก้าวขึ้นระดับมือต้นๆ มีคอนโดหลัก 3-5 ล้านปล่อยขายมากสุดถึง 30 แห่ง ก่อนที่เมื่ออายุ 26 ได้ควบตำแหน่งงานที่ปรึกษาบริษัทกว่า 4 แห่ง โดยหนึ่งในนั้นได้เข้าตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย
“เล่นเกมไหน เล่นจริงจัง เล่นจนกว่าจะเก่ง คนอื่นกลับบ้านไปนอน แต่เราเข้าเว็บตลาดอสังหาฯ เข้าอ่านทุกวัน เหมือนคนเล่นพระต้องไปดูพระทุกวัน เราดูทุกวันจนรู้จักทั่วกรุง ดังนั้นถามว่าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ยังไง คือเราเรียนรู้หาวิธี
“คนเรามันก็เหมือนไพ่โปกเกอร์ ผู้เล่นมี 2 แบบ แจกไพ่มาพร้อมชนะเป็นพวกมีบุญ คนรวย และพวกไพ่ขี้เหร่ พร้อมจะแพ้เปรียบได้คนจน แต่เราสามารถที่พลิกได้ ไม่ปล่อยไปตามสถานการณ์ ฝึกมันทุกตาไปเรื่อยๆ วันหนึ่งคนที่ไพ่ดีก็ชนะไม่ได้ เพราะเก่งมากพอ”
ทำตัวเป็น ‘ฟองน้ำ’
ซับสิ่งที่ดีพร้อมจะซึมรับรู้สิ่งต่างๆ
ภูวนัยเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพจากการเป็นผู้ใช้ในเว็บไซต์ และนำมาพัฒนาต่อยอดให้ไวกว่า ไม่มีแฮงค์ค้างหรือขั้นตอนการประกาศเช่า-ขายให้ยุ่งยาก สามารถทำเสร็จได้ใน 1 นาที ที่สำคัญราคายังถูกว่าถึง 25 เท่า
“เว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ของไทยตอนนั้นมีเว็บเดียว อีก 2-3 เว็บเป็นของสิงค์โปร รัสเซีย แต่แพงเวอร์” เขาเผย จุดเริ่มต้นใหม่หลังประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนและการงานในส่วนหนึ่ง
ระดับที่สูงขึ้นในฐานะ ‘เจ้าของกิจการผู้ก่อตั้ง’ นั้นไม่ง่ายจากที่เคยทำงานสบาย เข้างานบ่ายโมงกลับบ้านบ่ายสามโมง การลงทำเว็บไซต์ประกาศขาย-เช่า แค่จ้างๆ คนทำงานไอทีมาทำเดี๋ยวก็โตของมันเอง “ซึ่งมันผิดถนัด” ภูวนัยยิ้มเขิน “เราเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของอสังหาฯ แต่เทคนิคเราไม่รู้”
ปัญหาแรกเลยคือการหาโปรแกรมเมอร์เก่งๆ ซึ่งส่วนมากเป็นพนักงานอยู่บริษัทใหญ่ๆ ดีๆ กันหมดแล้ว ปัญหาต่อมาคือดีไซน์โครงสร้างต่างๆ ของแผนกงานเพื่อพาบริษัทเดิน เรื่องของการควบคุมพนักงาน ฯลฯ จากที่กินอิ่มนอนหลับสบายก็นอนตี 2-3 ติดต่อกันถึงเป็นปีๆ
“มีไอเดียดีอย่างเดียวไม่พอรันให้บริษัทรอด ให้คิดว่าเป็นเพียงแค่แพชชั่น ใครก็มีไอเดียได้แต่จะทำได้จริงหรือเปล่า 100 % ทำได้จริงแค่ 5 % สิ่งสำคัญคือการบริหารจัดการเวลา หรือวินัย ตั้งเวลาและกำหนดให้เสร็จ ถ้าเซตได้ชัดเจน จะต้องเปิดร้านวันนี้ เช้านี้ต้องสำรวจราคาตลาด คู่แข่งมีไหม มาจะมันจะพามาขั้น ‘วิญญาณแห่งความเป็นเจ้าของ’ เป็นขั้นสูงของระดับ CEO การทำงานจะไม่มองแค่วางแผนวันต่อวัน การผ่านการเป็นพนักงาน การก้าวขึ้นระดับหัวหน้า ใช้เวลา 5-10 ปี ออกมาทำธุรกิจเอง จะช่วยให้มองเห็นภาพและรู้ทั้งหมดที่จะขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งเราจะวางแผนได้ 3 เดือน 6 เดือน หรือข้ามปี”
เหมือนการออกกำลังกาย ถ้าไม่สม่ำเสมอก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นการนำทฤษฏีเล่นเกมที่เล่นจนกว่าจะเก่งกลับมาใช้อีกครั้งก็ไม่พอ ต้องผนวกเข้ากับหลักชีวิตแบบ ‘ฟองน้ำ’ ซับสิ่งที่ดีและพร้อมจะซึมรับรู้สิ่งต่างๆ ถึงได้ผ่านพ้นอย่างปัจจุบัน
“เราต้องทำตัวเหมือนฟองน้ำ คนเรามันปัญหากันทุกคน โดยมี 2 ข้อใหญ่ๆ คือ งาน ธุรกิจและความรัก แต่มีหลักการง่าย ต้องลืมให้ไวแล้วไปต่อ ‘ช่างมันแล้วก็หลับให้ได้’ แค่นั้นเอง ฟังเหมือนง่ายแต่ทำยาก เพราะสมองคนเราทำงานตลอด ทำให้เราคิดฟุ้งซ่านไปหมด และพอคิดนอนไม่หลับร่างกายเราก็พังตามไป ก็พากันพังหมดยิ่งขึ้น
“ให้บริหารจัดการสมองใหม่ จัดลำดับ ถึงจุดจะคิดอะไรให้คิดเอาเฉพาะเรื่องนั้น เรื่องอื่นที่ต่อให้เป็นปัญหาแต่จัดไว้แล้วอยู่ในอันดับหลังก็ต้องอยู่อันดับนั้น เก็บใส่ลิ้นชักไว้ ถึงเวลาค่อยเปิดมาคิดและแก้ปัญหา ปิดร่างกายมันไว้ ตื่นมาค่อยคิดใหม่ มันก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ไปได้”
'มอง' วิกฤตคือโอกาส
อีกสิ่งหนึ่งที่จะตัดกำดักหลุมพรางให้ชีวิตดิ่ง อดีตเด็กกำพร้าผู้มาจากศูนย์บอกว่า คือ ‘การมองวิกฤตให้เป็นโอกาส’
โดยได้ยกตัวอย่างเรื่องของ ‘เศรษฐกิจ’ ที่หลายคนมองว่าย่ำแย่นั้น จริงๆ หากย้อนกลับไปในอดีตทุกๆ ช่วงเวลาต่างมีปัญหาด้วยตัวเองมันเองทั้งสิ้น “เป็นวัฏจักร ขึ้นอยู่กับวิธีคิด เรามองวิกฤตเป็นโอกาสได้เสมอ เหมือนที่เล่าเรื่องชีวิต ถ้าคิดว่าถ้าพ่อไม่ตาย ได้อยู่กันกับครอบครัว ก็คิดว่าคงไม่มีวันนี้ แต่เรามาวันนี้ได้เพราะโอกาสแบบนั้น”
ตัวอย่างที่ดีในข้อคิดนี้ถอยหลังไป 6-7 ปีก่อน ประเทศยักษ์ใหญ่อเมริกาเองต้องพบ ‘วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์’ (subprime mortgage crisis) ผู้กู้ยืมนั้นกู้ยืมสินเชื่อที่เกินกำลังโดยคิดว่าตนจะสามารถปรับโครงสร้างเงินกู้ได้โดยง่าย แต่ทว่าการปรับโครงสร้างเงินกู้กลับเป็นไปได้ยากขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้นและราคาบ้านเริ่มต่ำลง
ส่งผลให้ต่อมาคนอเมริกาแห่ขายบ้านที่ถือครองต่ำกว่าราคากันกว่าครึ่งที่ซื้อเป็นแถว ซึ่งในระหว่างนั้นเด็กจบใหม่คนหนึ่งได้เห็นมองถึงลู่ทางทำธุรกิจสร้างแอพพลิเคชั่น ‘เช่าบ้าน’ ขึ้น และทุกวันนี้ธุรกิจสตาร์ทอัพนี้จัดอยู่ในระดับยูนิคอร์น มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท
“แรกๆ ใครก็คิดว่าบ้า บ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวหวงห้าม ใครจะให้เช่า แต่มีคนอเมริกาเยอะมากมีบ้านมากกว่า 1 หลัง พอทำขึ้นมาคนสนใจมาก เพราะคนได้ทำเลที่ดี ได้สัมผัสประสบการณ์ถึงถิ่นและแถมยังได้ราคาที่ถูกกว่า 50% ที่ไปเช่าโรงแรม”
“ทุกอย่างต้องลองสร้าง ทดสอบ และก็ไป” อดีตวิศวกรวัย 37 กล่าวสิ่งสุดท้ายที่ต้องผสมผสานและเชื่อมโยงกันทั้ง 3 อย่าง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งเรื่องธุรกิจและชีวิตให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประสบความสำเร็จสูดลมหายใจผู้ชนะทั้งการงาน การเรียน และความรัก
..........................................................................
เคล็ดลับทำธุรกิจให้รวย
1.เรียนรู้การเป็นลูกน้องก่อนอย่างน้อยๆ 5-10 ปี เพื่อเจอความกดดันและเรียนรู้โครงสร้างบริษัท เพราะเราคนเดียวไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ แต่ต้องประกอบด้วยหลายฝ่ายที่จะนำพาให้ธุรกิจไปสำเร็จ
2.อย่าคิดว่าจะทำอะไรถึงรวย ไม่มีเจ้าสัวคนไหนคิดมาก่อนว่าจะทำธุรกิจนี้แล้วรวย เขาล้วนแต่ต่อยอดจากสิ่งที่เราทำได้ดี เช่นห้างโรบินสัน เริ่มจากขายกางเกงยีนส์มาก่อน แล้วลูกค้าอยากซื้อเสื้อ ก็ต่อยอดจากการเจอปัญหานี้ แก้ปัญหาให้เขาได้ มันก็ต่อยอดตอบโจทย์ การขยายความมั่งคั่งจะมาจากปัญหาที่เราแก้ให้ลูกค้า
3.เก็บเงินให้ได้ 1 ล้าน เพราะการเริ่มต้นธุรกิจให้สำเร็จต้องมีวินัย การฝึกเก็บเงินเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการลงทุน เนื่องจากเป็นจำนวนเงินที่มากทำให้เราก่อนจะศึกษาหรือทำอะไรจะค้นและหาข้อมูล รวมไปถึงลงพื้นที่คิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งนั้นจะนำมาสู่ประตูแห่งความสำเร็จในที่สุด