posttoday

ดีเอสไอบุกค้น 5 จุดนำสารพาราควอต-ไกลโพเซตผสมผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายทางโซเชียล

14 พฤศจิกายน 2562

ดีเอสไอ-กรมวิชาการเกษตรค้น5 จุดบริษัทย่านเมืองนนทฯปทุมธานี นำเข้าสารพาราควอต-ไกลโพเซตผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายทางโซเชียล มูลค่าเสียหายกว่า 10ล้านบาท มีผู้ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพแล้วกว่า 1,000 ราย

ดีเอสไอ-กรมวิชาการเกษตรค้น5 จุดบริษัทย่านเมืองนนทฯปทุมธานี นำเข้าสารพาราควอต-ไกลโพเซตผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายทางโซเชียล  มูลค่าเสียหายกว่า 10ล้านบาท มีผู้ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพแล้วกว่า 1,000 ราย

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสุรเดช ปัจฉิมกุล รองอธิบดีกรมวิชา การเกษตร และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้องเขาตรวจค้นบริษัทที่นำเข้าสารพาราควอต-ไกลโพเซตในพื้นที่ย่านจ.ปทุมธานีและนนทบุรี จำนวน 5 จุดประกอบด้วย 1.บริษัท สมาร์ท ไบโอเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืช ยี่ห้อสมาร์ทไบโอรวมทั้ง มีผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น สารเสริมประสิทธิภาพกำจัดโรคพืช ยี่ห้อท็อปเคลียร์ สารปรับสภาพน้ำชนิดพิเศษ ยี่ห้อสมาร์ท ไบโอ อะควอและ ปุ๋ย เป็นต้น ตั้งอยู่ที่  จ.นนทบุรี จำนวน 2 จุด 2. บริษัท วีไอพี คิงดอม 999 จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืช ยี่ห้อซุปเปอร์ไลค์ และผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น จำหน่ายยาฆ่าแมลง ยี่ห้อออแกนิค คิล จำหน่ายปุ๋ยสินแร่นาโน บูม ชนิดเม็ด เป็นต้น ตั้งอยู่ที่ จ.ปทุม ธานี จำนวน 1 จุด และ จ.นครราชสีมา จำนวน 2 จุด

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอได้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษและมอบหมายให้กองคดีคุ้มครองผู้บริโภคสืบสวนสอบสวนจนพบว่า บริษัททั้ง 2 แห่งได้มีการนำสารพาราควอตไดคลอไรด์ และไกลโพเซต – ไอโซโพรพิลแอมโมเนียม ซึ่งเป็นสารควบคุมตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ.2556 บัญชี 1.1 ลำดับที่ 353 และลำดับที่ 43 ที่เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 มาผสมกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฏหมายและขายผ่านทางสื่อโซเซียลมีเดีย ทำให้ผู้ซื้อไปใช้เข้าใจผิดคิดว่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพดังกล่าวไม่มีผลต่อสุขภาพ เป็นเหตุทำให้ผู้ซื้อได้รับอันตรายต่อสุขภาพจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

“การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิด ตามพ.ร.บ.อันตราย พ.ศ. 2535 ฐาน ผลิต หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ตามมาตรา 23 ประกอบ มาตรา 73 และฐานผลิตหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี  หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ตามมาตรา 45 (4) ประกอบ มาตรา 78 ซึ่งเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ “

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จากการสืบสวนเบื้องต้นน่าเชื่อว่ามีความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป และมีผู้ได้รับผลกระทบจากวัตถุอันตรายดังกล่าวมากว่า 1,000 ราย นอกจากนี้ อาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ปุ๋ย พ.ศ. 2518 เนื่องจากมีการผลิตปุ๋ยเพื่อการค้า โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือไม่ได้รับอนุญาต อันเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 12 ประกอบมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เนื่องจากมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่จะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 14(1) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการเข้าตรวจตรวจค้นทั้ง 5 จุด สามารถยึดผลิตภัณฑ์ต่างๆ และเอกสารที่เกี่ยวข้องได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้ง ได้มีการอายัดอุปกรณ์การผลิตไว้เพื่อทำการตรวจสอบ  โดยดีเอสไอจะเร่งดำเนินคดีและสรุปสำนวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป