"สุริยะใส" แนะวิธีจัดการ "ขบวนการนอกรีตเก็บค่าลิขสิทธิ์"

สุริยะใส ชี้ต้นตอขบวนการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์โดยมิชอบ เจ้าหน้าหย่อนยาน-แนะวิธีจัดการทบทวนช่องโหว่กฎหมาย

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงกรณีขบวนการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์โดยมิชอบ และเสนอแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้

นายสุริยะใส ระบุว่า แก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ไปให้ถึงต้นตอ ซึ่งจากการติดตามข่าวการล่อซื้อกระทงละเมิดลิขสิทธิ์นอกจากหดหู่กับชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อ ยังอยากสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่สลับซับซ้อนและมีหลายมิติ เพราะกรณีดังกล่าวที่เป็นข่าวอื้อฉาวคิดว่าแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ถ้าสืบค้นต้นตอจะพบโครงสร้างของอำนาจ ขบวนการและผลประโยชน์มหาศาลที่มาในนามของกฎหมายลิขสิทธิ์ จากนโยบายที่ไม่รัดกุมและพฤติกรรมฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่บางคน

ทั้งนี้ ช่องโหว่สำคัญที่เปิดข่องให้เกิดขบวนการนอกรีตคือ การเปิดทางให้ผู้ถือสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในขั้นตอนไกล่เกลี่ย จนกลายเป็นที่มาของการเรียกรับผลประโยชน์ ที่อาจไม่ได้นำเงินนั้นไปชดเชยผลเสียของผลิตภัณฑ์ แต่เอาไปเข้ากระเป๋าผู้เรียกรับหรือผู้กรรโชกบางคนที่แอบบอ้างเป็นตัวแทนเจ้าของลิขสิทธิ์ การเรียกรับผลประยชน์จบกันที่เงินหลักพันไปจนถึงหลักหลายแสน เพราะไม่มีใครอยากเข้าคุก

ฉะนั้นนโยบายการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเลยเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.จนสหรัฐประกาศปรับสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง เมื่อเดือน ก.ย.2560

นายสุริยะใส ระบุว่า การคุ้มครองทรัพยินทางปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ต้องไม่เปิดช่องว่างให้กระบวนการนอกรีตแฝงฝังในระบบเอาเปรียบคนยากคนจนหาเช้ากินค่ำแบบนี้

นายสุริยะใส แนะนำว่า ไม่อยากให้เรื่องนี้จบไปพร้อมการดำเนินคดีผู้ที่แอบอ้างหรือขู่กรรโชกชาวบ้าน แต่ต้องไปไกลถึงขั้นทบทวนช่องโหว่ของกฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหย่อนยาน หรืออยู่ในกระบวนการนอกรีตพวกนี้ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยเป็น 2 มาตรฐาน