posttoday

ย้าย"ดาบเท่ง" เซ่นโทรคุยภรรยาลูกน้อง "ชัยวัฒน์"ให้ปรักปรำคดีบิลลี่

10 กันยายน 2562

รองโฆษก ตร. เผยผบก.สส.ภ.7 สั่งย้าย "ดาบเท่ง" ออกนอกพื้นที่ หลังสอบพบโทรคุยภรรยาลูกน้อง "ชัยวัฒน์"ให้ปรักปรำคดีบิลลี่ ย้ำ"ผบ.ตร."สั่งดำเนินการเด็ดขาด หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจยุ่งเกี่ยวพยาน

รองโฆษก ตร. เผยผบก.สส.ภ.7 สั่งย้าย "ดาบเท่ง" ออกนอกพื้นที่ หลังสอบพบโทรคุยภรรยาลูกน้อง "ชัยวัฒน์"ให้ปรักปรำคดีบิลลี่  ย้ำ"ผบ.ตร."สั่งดำเนินการเด็ดขาด หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจยุ่งเกี่ยวพยาน

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. พ.ต.อ.กฤษณะ  พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีที่นายชัยวัฒน์  ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จังหวัดอุบลราชธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มอบอำนาจให้นายวินัย  บัวศรี หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมายฯ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา กรณีมีผู้อ้างว่าเป็นข้าราชการตำรวจสังกัด กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ข่มขู่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของนายชัยวัฒน์ เพื่อให้การปรักปรำนายชัยวัฒน์ ขณะทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน  ว่าเป็นตัวการฆ่านายบิลลี่หรือพอละจี รักจงเจริญ โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะกันตัวไว้เป็นพยาน ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯดังกล่าวว่า ได้รับรายงานจาก สภ.เมืองอุบลราชธานี ว่า เป็นการลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อขอความคุ้มครองพยาน ซึ่งสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) เห็นว่ามีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่และขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิต เสรีภาพส่วนบุคคลและการให้การคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานบุคคล

รอง โฆษก ตร.  กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 ข่มขู่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนั้น ได้รับรายงานว่า พล.ต.ท.ธนา  ชูวงษ์ ผบช.ภ.7 มีคำสั่งให้ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจากการตรวจสอบพยานหลักฐานที่รวบรวมได้และรับฟังเป็นข้อยุติได้ส่วนหนึ่งว่า ด.ต.พงศ์ษาวดี หรือเท่ง  ไทยกูล ผบ.หมู่ กก.สส.1 บก.สส.ภ.7 ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว ยอมรับว่าเป็นผู้โทรศัพท์ไปพูดคุยกัยนางรัตน์ดาวรรณ หรืออร  บุษราคัม ภรรยานายบุญแทน  บุษราคัม เจ้าหน้าที่ป่าไม้ อดีตเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งข้อเท็จจริงตามบทสนทนาที่ปรากฏทางสื่อ มีลักษณะเป็นการพูดคุยซักถามในฐานะคนรู้จักสนิทสนมกันมากกว่าการข่มขู่ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีพยานหลักฐาน เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าการกระทำของ ด.ต.พงศ์ษาวดี มีความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ในความผิดฐานกระทำการหรือละเว้นการกระทำการใดอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ หรือทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2556 ซึ่งทาง  พล.ต.ต.สงวน  โรงสะอาด ผบก.สส.ภ.7 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของ ด.ต.พงศ์ษาวดี มีคำสั่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการทางวินัย ประกอบกับเพื่อให้การสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม จึงมีคำสั่งให้ด.ต.พงศ์ษาวดี ไปปฏิบัติราชการยัง ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 7 (ศปก.บก.สส.ภ.7)

สำหรับคดีนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์  ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีการกล่าวอ้างถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใด เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือยุ่งเหยิง กับพยานหลักฐาน ตลอดจนการชี้นำหรือข่มขู่ ทำให้เกิดพยานหลักฐานเท็จ หรือ พยานหลักฐานอื่นใดที่อันจะก่อให้เกิความเสียหายต่อรูปคดี หรือ การประพฤติ ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ในฐานะผู้รักษากฎหมาย หรือแม้กระทั่งใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ให้ดำเนินการลงโทษทั้งทางวินัยหรือทางอาญา อย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย