posttoday

ระดมสมอง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัล

09 กุมภาพันธ์ 2562

ในโลกที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด

โดย อณุสรา ทองอุไร 

ในโลกที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด และมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสมาชิกในสังคม“หลักนิติธรรม” ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างเสริมสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรม การมีส่วนร่วม และความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในสังคม จึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ

หลักนิติธรรมถูกกำหนดไว้เป็นเป้าหมายที่ 16 จากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN’sSustainable Development Goals-SDGs) จำนวน 17 ข้อ และได้รับการยอมรับว่านอกจากจะเป็นเป้าหมายในตัวเองแล้ว หลักนิติธรรมยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงสังคม ทั้งยังเป็นปัจจัยเอื้อให้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการอื่นๆ ประสบความสำเร็จอีกด้วย

กฎหมายเพื่อผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลทั้ง 10 ฉบับ ของเมืองไทยที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) อยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศในการพัฒนาประเทศ เวทีสาธารณะระดับนานาชาติว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนครั้งที่ 7 ในหัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความยุติธรรม” เพื่อตอกย้ำการสร้างเสริมหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสามารถสะท้อนภาพต่างๆ โดยรวมได้ดีในส่วนหนึ่ง

ความคืบหน้าล่าสุดชุดกฎหมายดิจิทัลของไทย

ระดมสมอง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัล

กระบวนการจัดทำชุดกฎหมายดิจิทัลครั้งนี้ หลายฉบับรอกันมานับสิบปี และเมื่อประกอบกันแล้ว นับได้ว่ามีความสมบูรณ์แบบ เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความพร้อมสูงที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจกิจและสังคมดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างเข้มแข็งมั่นคง สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และจะทำให้ประเทศไทยในฐานะประธานประชาคมอาเซียน มีความพร้อมสูงในการก้าวนำประชาคมไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital ASEAN) ร่วมกันอย่างยั่งยืน (Advancing Partnership for Sustainability)

พ.ร.บ.สำคัญ 4 ฉบับ ซึ่งที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีการลงมติในวาระ 1 รับหลักการเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ด้วยแล้วทุกฉบับ และเข้าสู่ในวาระ 2 ประกอบด้วย

- ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transaction)

- ร่าง พ.ร.บ.สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

- การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมาตราในร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และพิจารณาจัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาต่อไป และ

- ร่าง พ.ร.บ.สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย

ส่วนร่าง พ.ร.บ.สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมาย ซึ่งขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน ร่าง พ.ร.บ.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล(ดิจิทัล ไอดี) เป็นกฎหมายที่เอื้ออำนวยเพื่อให้มีการระบุตัวทางอิเล็กทรอนิกส์และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในช่วงพิจารณาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการผลักดันให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) นั้น ขณะนี้ได้จัดทำสถาปัตยกรรมโครงสร้างสำหรับรัฐบาลดิจิทัลใน 4 ด้าน ได้แก่ Government Big Data Data center Cloud service และ One Stop Service เพื่อให้ภาครัฐลดความซ้ำซ้อนในการจัดซื้อจัดจ้าง ให้หน่วยงานภาครัฐดูแลระบบ Big Data และให้หน่วยงานดูแลเรื่องความปลอดภัยหรือ Security ฯลฯ

สำหรับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งสองฉบับนี้มีการกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งจะทำให้มีเอกภาพและความชัดเจน ในการปฏิบัติภารกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมและประชาคมโลก

เสริม “หลักนิติธรรม”สร้างอนาคต

ระดมสมอง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัล

สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (Thailand Institute of Justice-TIJ)ร่วมกับสถาบัน Institute for Global Law and Policy หรือ IGLP แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเวทีสาธารณะระดับนานาชาติว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนครั้งที่ 7 ในหัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความยุติธรรม” มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้องร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในเรื่องของการผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ากับการออกแบบนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำนำสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ ประธานศาลฎีกา ชีพ จุลมนต์ ได้ให้มุมมองว่า เพราะอาชญากรทำงานกันเป็นเครือข่าย เราจึงต้องใช้เครือข่ายจัดการกับเครือข่าย และเพราะอาชญากรทำงานโดยใช้เทคโนโลยี เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีจัดการกับเทคโนโลยีด้วย

“การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัล ให้สามารถอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส เป็นธรรม และทันสมัย จะเป็นทิศทางหลักในการทำงานของเครือข่ายบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทยและนานาชาติ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือเพื่อเติมเต็มศักยภาพระหว่างกันทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติจริงพร้อมเป็นที่พึ่งและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน”

ศ.พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ผู้อำนวยการ TIJ ชี้ว่าในขณะที่สังคมเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ การทุจริตคอร์รัปชั่น ความไม่เท่าเทียมในสังคม และประเด็นการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

“การแก้ปัญหาไม่อาจสำเร็จได้โดยอาศัยเพียงนักกฎหมายและผู้บังคับใช้กฎหมาย หากยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งต้องการวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้หลักนิติธรรมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการนี้จำเป็นต้องอาศัยพลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนโลกในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการออกแบบนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งหากใช้เครื่องมือทั้งสองอย่างนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาเชิงโครงสร้างจะเกิดขึ้นได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และยั่งยืนยิ่งขึ้น”

ทางด้าน ศ.ดร.ชีล่า จาซานอฟ จากKennedy School of Governmentมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา มองว่ากฎหมายและเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยธรรมชาติ โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่กฎหมายวางแนวทางไว้

“แท้จริงแล้วเทคโนโลยีไม่ได้นำหน้ากฎหมาย หากแต่ทำงานร่วมกันในการสร้างระเบียบสังคมที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวแปร นอกจากนี้ยังชี้ว่า หน้าที่หลักของกฎหมายคือการกำหนดและปกป้องคุณค่าและสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ในบริบทของการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่เทคโนโลยีเป็นตัวทดสอบและปรับเปลี่ยนบรรทัดฐานเดิมในสังคม และนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ เช่น ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวเป็นต้น พวกเราควรจะได้ตระหนักและเข้าใจศักยภาพในทางสร้างสรรค์ของกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาทางเทคโนโลยี”

ระดมสมองเพื่อความก้าวหน้าทางกฎหมายเทคโนโลยี

ระดมสมอง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัล

เวทีสาธารณะระดับนานาชาติในครั้งนี้ยังมีการเสวนาใน 3 หัวข้อ จากการตกตะกอนร่วมกันของนักกฎหมายนักนโยบาย นักเทคโนโลยี และนักวิชาการ 140 คน จากกว่า 40 ประเทศ ที่ได้ผ่านการเรียนรู้ และระดมสมองอย่างเข้มข้นตลอด 5 วันเต็ม ในหลักสูตร“TIJ-IGLP Workshop for Emerging Leaderson the Rule of Law and Policy” ประจำปี2562

การเสวนาแรกจัดภายใต้หัวข้อ “ประสบการณ์ในระดับภูมิภาคด้านหลักนิติธรรมและนโยบาย” ได้หยิบยกประสบการณ์ที่น่าสนใจด้านหลักนิติธรรมที่หลากหลายประเทศในอาเซียน ทั้งอินโดนีเซียมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย กำลังเผชิญอาทิ ประเด็นด้านสิทธิในที่ทำกินและปัญหาสิ่งแวดล้อม ประเด็นความเสมอภาคทางเพศ และการต่อต้านการคอร์รัปชั่นมานำเสนอ

ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ก่อตั้ง HAND Social Enterpriseอ้างถึงองค์กรกว่า 30 แห่งในประเทศไทยที่กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงพลังในการแจ้งพฤติกรรมคอร์รัปชั่นผ่านสื่อโซเชียลโดยบอกว่า

“เราต้องคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อต่อต้านคอร์รัปชั่น”

การเสวนาที่ 2 ว่าด้วย “การสร้างเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี” อภิปรายเกี่ยวกับประเด็นด้านผู้กำกับดูแลเทคโนโลยี การย้ำเตือนถึงอันตรายจากการรวมอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในมือของรัฐบาล และกลุ่มธุรกิจต่างๆ ซึ่งผู้เสวนาทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว ทั้งยังเห็นว่า เทคโนโลยีสามารถเข้ามาเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความโปร่งใส ความเสมอภาคและความยุติธรรมได้

ศ.ลูซี่ ไวท์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเปรียบเทียบระบบสาธารณสุขระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยว่า

“ผู้มีรายได้น้อยในสหรัฐมีระบบสาธารณสุขที่ไม่ดี ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยในไทยจัดว่าได้รับการดูแลด้านสาธารณสุขที่ทันสมัยและหลากหลาย” ทั้งยังอธิบายต่อว่า สภาวการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากสาธารณสุขในประเทศไทยให้ความสำคัญกับสิทธิขั้นพื้นฐานของคนมากกว่าผลประโยชน์ทางการค้า

การเสวนาสุดท้ายในหัวข้อ “การนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อตอบโต้ข้อท้าทายของอาชญากรรมในโลกไร้พรมแดน”อภิปรายถึงคดีอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ทั่วโลกที่ก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ถือเป็นความท้าทายที่หนักหนาอย่างหนึ่ง เมื่อโลกยังแบ่งแยกด้วยเขตพรมแดน แต่อาชญากรก่ออาชญากรรมอย่างไร้พรมแดน

ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท AccRevo ชี้ว่า การต่อสู้กับอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์เป็นเรื่องที่ยาก ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายสูงอีกทั้งบุคลากรที่มีหน้าที่ในการต่อสู้กับอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ยังมีความรู้และความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องไม่เพียงพอ เช่น หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผู้เสวนาล้วนเห็นตรงกันว่า ทั่วโลกต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดนโยบายและข้อกำหนดต่างๆในการทำงาน ตลอดจนบทลงโทษทางกฎหมาย มร.เดนนิส เดวิส ผู้พิพากษาศาลฎีกาแห่งเคปทาวน์ ซึ่งเข้าร่วมการเสวนาให้ความเห็นว่าการต่อสู้กับอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์จะสำเร็จได้ จำเป็นต้องอาศัยการประสานความร่วมมือกันและการแบ่งปันข้อมูลระหว่างรัฐบาล