posttoday

ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก "กำนันเซี๊ยะ-เมีย" รุกที่รัฐ สั่งออกหมายจับนำตัวมารับโทษ

17 มกราคม 2562

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก "กำนันเซี๊ยะ-เมีย" 56 เดือน คดีบุกรุกที่ดินรัฐ พร้อมออกหมายจับให้นำตัวมารับโทษตามคำพิพากษา

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก "กำนันเซี๊ยะ-เมีย" 56 เดือน คดีบุกรุกที่ดินรัฐ พร้อมออกหมายจับให้นำตัวมารับโทษตามคำพิพากษา

เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 62 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4849/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็น โจทก์ยื่นฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี๊ยะ อายุ 76 ปี และนางเขมพร ต่างใจเย็น ภรรยา อายุ 53 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในความครอบครองดูแลของรัฐ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 , 108 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินพิพาทด้วย

กรณีวันที่ 29 พ.ย. 44 - 8 ก.พ. 45 ทั้งสองร่วมกันบุกรุกและยึดถือ ครอบครองที่ดิ ของรัฐ มากกว่า 50 ไร่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานธนารักษ์ พื้นที่ จ.กาญจนบุรี โดยแผ้วถางป่าและไถปรับพื้นที่ทำถนน สร้างบ้านพักอาศัย บ้านพักคนงานและคอกปศุสัตว์ในที่ดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่มีสิทธิและไม่ได้รับอนุญาต ที่หมู่ 2 ต.ช่องด่านและหมู่ที่ 2 ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี โดยอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 54

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาโดยตลอด ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทดังกล่าว มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) และมาตรา 108 ทวิ ฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ , ฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ และฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ

โดยคดีนี้ชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 มี.ค.58 ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 10 ปี 16 เดือน และให้จำเลยทั้งสอง รวมทั้งบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ให้นับโทษ นายประชา รวมกับคดีหมายแดง อ.2830/2557 กรณีบุกรุกที่ดิน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ที่ศาลอาญาให้จำคุก 1 ปีโดยไม่รอลงอาญาด้วย

ขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คดีซึ่งระหว่างอุทธรณ์จำเลยทั้งสองได้ประกันตัวคนละ 1 ล้านบาท และมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึง 2 ครั้งเนื่องจากจำเลยไม่มาศาล กระทั่งวันวันที่ 8 ส.ค.59 ศาลได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย โดยศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองเนื่องจากพฤติการณ์มีเหตุให้จำเลยทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่า จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำได้ จึงขาดเจตนาในการกระทำผิด ฐานบุกรุก เข้าไปยึดครองที่ดินของรัฐ จำเลยจึงไม่ผิดตามฟ้อง

ต่อมา อัยการโจทก์ ยื่นฎีกา ซึ่งศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาฎีกาครั้งแรกในวันที่ 7 ธ.ค.61 แต่เมื่อถึงเวลานัดปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าศาล ศาลจึงเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาออกไปเป็นวันนี้ (17 ม.ค.) เวลา 09.00 น. โดยให้ออกหมายจับติดตามตัวจำเลยทั้งสองมาฟังคำพิพากษาฎีกาตามกำหนดนัดนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลานัดวันนี้ จำเลยที่ 1-2 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาฎีกา ศาลจึงให้อ่านคำพิพากษาฎีกาลับหลังจำเลยทั้งสอง

โดยศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาบุกรุกแผ้วถางครอบครองที่ดินราชพัสดุ และไม่รู้กฎหมายที่ดินจึงขาดเจตนา โดยคดีนี้ไม่มีการร้องทุกข์ ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการสั่งว่าไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด ไม่มีการสรุปสำนวนส่งอัยการพร้อมความเห็น อัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น

"ศาลฎีกา" พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสอง อ้างไม่มีเจตนาเพราะไม่รู้เป็นที่ดินของรัฐนั้น เท่ากับเป็นการแก้ตัวให้พ้นผิดจากกฎหมายนั้นก็ไม่ได้ และที่จำเลยอ้างว่าซื้อที่ดินมาจากบุคคลอื่น และหากรู้ว่าเป็นที่ดินของรัฐก็จะไม่ซื้อก็ดี และซื้อมาในราคาตลาดโดยมีผู้รวบรวมดำเนินการให้นั้น ย่อมไม่มีเหตุให้จำเลยทั้งสองพ้นจากความรับผิด

โดยที่ดินดังกล่าวได้ถูกกำหนดให้เป็นเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาฯ จึงห้ามโอนแก่กันการได้เข้าไปครอบครองที่ดินโดยที่รู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ศาลฎีกา จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองผิดตามฟ้องรวม 7 กรรม ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี โดยลดโทษให้คนละ กระทงละ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 56 เดือน (4 ปี 8 เดือน) พร้อมนับโทษ "กำนันเซี๊ยะ" จำเลยที่ 1 จากคดีแดงที่ 2936/2554 และแดง 3178/2548 ของศาลอาญา และ "นางเขมพร" จำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีแดงที่ 3178/2548 ด้วย และมีคำสั่งให้บริวาร ลูกจ้าง คนงานของจำเลยทั้งสองออกจากที่ดินทันที

นอกจากนี้ให้ยกเลิกหมายจับเดิมที่ให้ตามตัวมาฟังคำพิพากษา ฎีกาในวันนี้ และ ให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองใหม่เพื่อนำตัวจำเลยทั้งสองมารับโทษตามคำพิพากษาฎีกาถึงที่สุดนี้ต่อไป