posttoday

“สนธิรัตน์” ถกโรงพยาบาลเอกชนด่วนหลังหุ้นร่วงหนัก

11 มกราคม 2562

รมว.พาณิชย์เร่งหามาตรการที่ไม่กระทบทุกฝ่ายก่อนชงครม. ยันไม่มีใครล็อบบี้และจุดยืนไม่เปลี่ยน ด้านภาคประชาสังคม ขู่ ฟ้องม. 157 หากไม่เดินหน้าแก้ปัญหาค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชน

รมว.พาณิชย์เร่งหามาตรการที่ไม่กระทบทุกฝ่ายก่อนชงครม. ยันไม่มีใครล็อบบี้และจุดยืนไม่เปลี่ยน ด้านภาคประชาสังคม ขู่ ฟ้องม. 157 หากไม่เดินหน้าแก้ปัญหาค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้นัดประชุมวาระพิเศษร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข สมาคมประกันชีวิตและวินาศภัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อหารือในประเด็นที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ได้มีมติให้นำยาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ เข้าเป็นสินค้าและบริการควบคุม และทางโรงพยาบาลเอกชนต้องการที่จะแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะถึงมาตรการที่จะนำมาใช้ในการกำกับดูแล จึงได้เปิดโอกาสให้มาหารือร่วมกัน เพื่อพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและเป็นไปได้

ทั้งนี้ ผลการหารือ เอกชนมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะโครงสร้างบริการทางการแพทย์มีความซับซ้อน โรคเดียวกัน อาจจะใช้วิธีการรักษาไม่เหมือนกัน เครื่องไม้เครื่องมือที่จะนำมาใช้แตกต่างกัน บริการก็แตกต่างกัน หรือกระทั่งหมอที่รักษาก็มีความเชี่ยวชาญต่างกัน การใช้มาตรการแบบเหมารวม ถือว่าไม่เป็นธรรม จึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ

“เดิมที กกร. มีมติเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2562 ให้นำสินค้ายาและเวชภัณฑ์ บริการทางการแพทย์ เข้าเป็นสินค้าและบริการควบคุมตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี  (ครม.) สัปดาห์หน้า แต่เมื่อมีผู้ที่เกี่ยวข้องอยากพูด อยากเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ผมก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้พูด เมื่อรับฟังข้อเสนอต่างๆ มาแล้ว ก็จะนำมาพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ยืนยันไว้ตรงนี้ได้ว่าไม่มีใครมาล็อบบี้ และจุดยืนในการดูแลผู้บริโภคยังไม่เปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่ควรจะมีมาตรการดูแลที่ชัดเจนออกมาก่อนถึงจะเสนอครม.ได้ และมาตรการนั้นจะต้องไม่กระทบกับทุกฝ่าย ซึ่งจะหารือภายในร่วมกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในอีกครั้งก่อนที่จะสรุป”นายสนธิรัตน์ กล่าว

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การนัดประชุมด่วนในครั้งนี้ เนื่องจากหุ้นโรงพยาบาลภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากแรงเทขายอย่างหนัก หลังจากที่ กกร. มีมติให้นำยาและเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์เข้าสู่บัญชีสินค้าและบริการควบคุม ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับผลกระทบจากราคาหุ้นที่ตกลง โดยประเมินว่ามูลค่าตลาดหุ้นของโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์น่าจะหายไปเป็นหลักหมื่นล้านบาท นายสนธิรัตน์จึงต้องนัดประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องวาระพิเศษ

สำหรบแนวโน้มการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป มีความเป็นไปได้ทั้งการคงให้ยาและเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าและบริการควบคุม และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป แต่มาตรการที่จะนำมาใช้ดูแล จะต้องสร้างความเป็นธรรมทั้งกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ และอีกแนวทางหนึ่ง อาจจะยกเลิกการเสนอให้เป็นสินค้าและบริการควบคุม ซึ่งจะต้องมีการเสนอให้ กกร. พิจารณาเพื่อแก้ไขมติอีกครั้ง แต่กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีมาตรการที่จะใช้ในการดูแลผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม

นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการนำยาและเวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนเป็นสินค้าและบริการควบคุม เพราะโรงพยาบาลเอกชนมีมาตรการที่โปร่งใสอยู่แล้ว และที่ผ่านมา ก็มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ควบคุมดูแล จึงมั่นใจได้ว่าการบริการของโรงพยาบาลมีความโปร่งใส่

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จะมีการติดตามการแก้ไขปัญหาของกระทรวงพาณิชย์ในการดูแลราคายาและเวชภัณฑ์ รวมถึงบริการทางการแพทย์ โดยเห็นว่ามาตรการที่ควรจะนำมาใช้ คือ การกำหนดส่วนต่างของต้นทุนและกำไรที่เหมาะสม เพราะค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลรัฐและเอกชนมีความแตกต่างกันมาก เช่น ค่ายาแพงกว่า 20-400 เท่า ค่าผ่าตัดไส้ติ่งเอกชนแพงกว่ารัฐ 14 เท่า แต่ของสิงคโปร์ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลรัฐและเอกชนห่างกันแค่ 2.5 เท่า ซึ่งหากกระทรวงพาณิชย์ไม่เดินหน้าต่อ มูลนิธิฯจะฟ้องศาลปกครองว่ารมว.พาณิชย์ผิดมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดูแลประชาชน

“การดูแลค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนไม่ให้สูงเกินความเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะจริงๆแล้วมีฐานข้อมูลของ 2,000 รายการ ซึ่งเป็นค่ารักษากรณีฉุกเฉิน โดยครองคลุมทั้งค่ายา ค่ารักษา ค่าวัสดุต่างๆไว้แล้ว และโรงพยาบาลเอกชนก็ยอมรับได้ ดังนั้นการคิดส่วนต่างระหว่างต้นทุนและกำไรจึงควรใช้ฐานดังกล่าว แล้วก็บวกระดับกำไรที่เหมาะสมเข้าไป” น.ส.สารี กล่าว

อย่างไรก็ตามกรณีที่หุ้นโรงพยาบาลเอกชนร่วงหนัก มองว่าเรื่องหุ้นมีขึ้นมีลง เช่น หุ้นของโรงพยาบาล ก เคยอยู่ที่ราคา 3 บาท และปัจจุบันขึ้นไป 6 บาท และร่วงเหลือ 5 บาท ถือเป็นไปตามภาวะตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ การดูแลชีวิตของคน ที่รัฐบาลควรจะต้องให้ความสำคัญมากกว่า