posttoday

"มูลนิธิชีววิถี" ตั้งคำถามการทำหน้าที่กรมทรัพย์สินฯ ที่เอื้อทุนต่างชาติ

12 พฤศจิกายน 2561

มูลนิธิชีววิถี ชวนประชาชนตั้งคำถามกับทำหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา-ชี้ใช้วาทกรรมสวยหรูแต่เนื้อหาเอื้อต่างชาติและบรรษัทยักษ์ใหญ่

มูลนิธิชีววิถี ชวนประชาชนตั้งคำถามกับทำหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา-ชี้ใช้วาทกรรมสวยหรูแต่เนื้อหาเอื้อต่างชาติและบรรษัทยักษ์ใหญ่

เมื่อวันที่ 12 พ.ย.  มูลนิธิชีววิถี ชักชวนให้ประชาชนควรตั้งคำถามกับการทำหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยอ้างเหตุว่า หลังจากให้บริษัทต่างชาติยื่นคำขอจดสิทธิบัตรกัญชา ทั้งๆที่ขาดความใหม่เพราะมาจากความรู้จากท้องถิ่น รวมถึงละเลยไม่คุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศทั้งที่เป็นหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

“กรมทรัพย์สินทางปัญญาแถลงวันนี้เกี่ยวกับเรื่องสิทธิบัตรกัญชา โดยที่มีการปล่อยให้มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรกัญชา ทั้งๆที่ขาดความใหม่ เพราะมาจากความรู้จากท้องถิ่น ละเมิดข้อห้ามในกฎหมายสิทธิบัตรของไทยเองที่ห้ามมิให้จดสิทธิบัตรสารสกัดจากพืช ตลอดจนการละเลยไม่คุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศ ทั้งๆที่เป็นหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน สิ่งที่ประชาชนควรตั้งคำถามกับการทำหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญามี 3 ระดับคือ

1.ปัญหาแนวปฏิบัติของกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า ทำไมจึงอนุญาตให้มีการเดินหน้าคำขอสิทธิบัตรซึ่งเกี่ยวข้องกับสารสกัดจากพืช ซึ่งขัดมาตรา 9(1) ที่ระบุว่าจุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากพืชหรือสัตว์ เนื่องจาก cannabinoid เป็นสารสกัดจากพืช เช่นเดียวกันกับการอนุญาตให้มีการอ้างสิทธิบัตรจากสารสกัดกัญชาในการรักษาโรคโรคลมบ้าหมู ทั้งที่ผิดมาตรา 9 เพราะเป็นความรู้แพทย์แผนไทยโบราณ เป็นต้น

2) ปัญหาการคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศภายใต้สนธิสัญญา PCT โดยนอกเหนือจากการยื่นขอสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้วนั้น ยังมีในกรณีที่คำขอสิทธิบัตรกัญชาซึ่งมีจำนวนหนึ่งผ่าน PCT หรือสนธิสัญญาความคุ้มครองสิทธิบัตรระหว่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญาเคยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นภาคีในสนธิสัญญานี้จนประสบผลสำเร็จโดยอ้างว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยไทย แต่ในทางปฏิบัติเรากลับพบคำขอสิทธิบัตร PCT จากต่างประเทศมากถึง 28,518 สิทธิบัตร แต่มีคำขอสิทธิบัตรจากประเทศไทยไปต่างประเทศเพียง 447 สิทธิบัตร (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 2559) เท่านั้น

หน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงมีความจำเป็นต้องใช้บทบาทของตนในฐานะที่ประเทศไทยเป็นภาคีใน PCT โดยทำหน้าที่ในการตรวจสอบคัดค้านคำขอสิทธิบัตรในต่างประเทศเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศด้วย โดยเฉพาะในกรณีคำขอสิทธิบัตรนั้นนำเอาทรัพยากรชีวภาพหรือภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยไปจดสิทธิบัตร ทั้งในกรณีกระท่อมและกัญชา เนื่องจากหากคำขอสิทธิบัตรนั้นมีผลจะทำให้เป็นการขัดขวางการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ของประเทศในต่างประเทศในระยะยาวด้วย

3) ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยนอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาในข้อ 1 และ 2 คือความจำเป็นในการแก้กฎหมายสิทธิบัตรของไทย ให้คุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยเอง ซึ่งมีเสียงเรียกร้องจากนักวิชาการและองค์กรสาธารณประโยชน์ให้มีการแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร ให้คำขอสิทธิบัตรต้องแสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อป้องกันกรณีโจรสลัดชีวภาพ และสร้างกลไกการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญากลับละเลยไม่ดำเนินการดังกล่าว ทั้งๆที่เป็นหลักการสำคัญในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ

ปัจจุบันในกฎหมายสิทธิบัตรของหลายประเทศ เช่น ในสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ จีน ฯลฯ เป็นต้นมีการระบุถึงเงื่อนไขดังกล่าวอย่างชัดเจน ส่วนในหลายประเทศก็มีข้อกำหนดดังกล่าวในกฎหมายอื่น ซึ่งจะมีผลต่อกฎหมายสิทธิบัตร เป็นต้น

รัฐบาลประกาศว่าจะดำเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมาจากการวิเคราะห์จุดแข็งของประเทศคือความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่แทนที่เราจะเห็นการส่งเสริมเงื่อนไขให้มีการวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมการปกป้องและพัฒนาความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่สิ่งที่เราเห็นในทางปฏิบัติคือการใช้วาทกรรมสวยหรูแต่เนื้อหาที่แท้จริงคือการบ้าการลงทุนจากต่างชาติ และเอื้ออำนวยอุตสาหกรรมจากบรรษัทยักษ์ใหญ่ มิได้วางรากฐานให้มีการพัฒนาความเข้มแข็งของคนในประเทศ มิหนำซ้ำยังทำลายการวิจัยและพัฒนาโดยกระบวนการมอบสิทธิบัตรที่ไม่ชอบแก่บริษัทยาและสถาบันวิจัยซึ่งส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ”