posttoday

"อัจฉริยะ"ปะทะคารมเดือดหมอโรงพยาบาลคดีสาวถูกสาดน้ำกรดดับ

11 พฤศจิกายน 2561

อัจฉริยะ-ญาติผู้ตายปะทะคารมเดือดหมอโรงพยาบาล ขณะชี้แจงปมสาวถูกสาดน้ำกรดดับ ขณะที่ผอ.โรงพยาบาลยืนยันไม่ได้ปฏิเสธการรักษา แต่คนไข้ประสงค์จะไปรักษาตามสิทธิที่โรงพยาบาลต้นสังกัด

อัจฉริยะ-ญาติผู้ตายปะทะคารมเดือดหมอโรงพยาบาล ขณะชี้แจงปมสาวถูกสาดน้ำกรดดับ ขณะที่ผอ.โรงพยาบาลยืนยันไม่ได้ปฏิเสธการรักษา แต่คนไข้ประสงค์จะไปรักษาตามสิทธิที่โรงพยาบาลต้นสังกัด

จากกรณี นายอัจฉริยะ เรื่องรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้าช่วยเหลือคดีของครอบครัว น.ส.ช่อลัดดา ทาระวัน อายุ 38 ปีที่ถูกสามีเอาน้ำกรดสาดจนได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้ให้บุตรสาววัย 12 ปี เรียกแท็กซี่เพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลบางมด แต่คนขับแท็กซี่เห็นว่าอาการหนักจึงปรารถนาดีนำส่งโรงพยาบาลพระราม 2 ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด แต่ถูกปฏิเสธการรักษาและทางโรงพยาบาลได้แนะนำให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางมด ซึ่งต่อมา น.ส.ช่อลัดดาได้เสียชีวิตระหว่างทางนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. พญ.วัลลภา ไชยมโนวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระราม 2 พร้อมด้วย นพ.พีระ คณานวัตน์ ศัลยแพทย์ทั่วไป และที่ปรึกษาประจำโรงพยาบาลพระราม2 ได้แถลงชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นต่อสื่อมวลชน โดยมีนายอัจฉริยะ และครอบครัวของผู้เสียหายร่วมรับฟังการแถลงด้วย

นพ.พีระกล่าวชี้แจงว่า ตามที่ทราบคนไข้เข้ามาถึงโรงพยาบาลเมื่อเวลาประมาณตี5กว่าๆ คนไข้เดินทางเข้ามาเองร้องขอความช่วยเหลือว่าปวดแสบปวดร้อน มีคราบสีขาวๆบนตัว เจ้าหน้าที่จึงถามคนไข้ว่าเป็นคราบอะไร คนไข้ตอบว่าเป็นคราบยาสีฟันที่ทามาเพราะแสบร้อน เจ้าหน้าที่จึงให้ล้างออกก่อนเพื่อที่จะได้ประเมินได้ว่าเป็นแผลลักษณะไหน คนไข้เดินไปที่อ่างน้ำล้างหน้าด้วยตัวเอง ล้างออกจนหมดถึงได้มานอนที่เตียง

ตอนนั้นพยาบาลห้องฉุกเฉินบันทึกไว้ว่าเห็นเป็นรอยแดง มีตาข้างหนึ่งลืมไม่ขึ้น กรอกปากหรือเปล่าไม่ทราบเพราะคนไข้ไม่ได้บอก จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้วัดสัญญาณชีพ ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ฉะนั้นนี่เป็นลักษณะที่ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต คนไข้แจ้งว่ารู้สึกแสบร้อน เจ้าหน้าที่จึงล้างน้ำและพันผ้าให้

"เจ้าหน้าที่ต้องรายงานผมตามกฎระเบียบของโรงพยาบาลกรณีที่รับคนไข้ฉุกเฉินเข้ามา พร้อมให้คำแนะนำเบื้องต้น ในเคสนี้เจ้าหน้าที่โทรหาผม ฟังดูทราบว่าคนไข้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แผลเป็นแผลรอยแดง ประเมินว่าเป็นแผลไหม้ถูกสารเคมีระดับหนึ่งหรือระดับปฐมภูมิ มีแค่รอยแดง ไม่มีการพุพอง หรือถูกกัดกร่อน จึงแนะนำไปว่าให้แอดมิทเพื่อให้การรักษาตามอาการ ซึ่งแผลระดับหนึ่งจะมีอาการปวดประมาณ 2-3 วัน ถ้าหายปวดก็กลับบ้านได้

พอผมแนะนำไปแล้วตามกระบวนโรงพยาบาลต้องเช็คสิทธิในการรักษาพยาบาล พบว่ามีประกันสังคมที่โรงพยาบาลบางมด จึงถามคนไข้ว่าจะรักษาที่นี่ หรือ ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางมดตามสิทธิ เพราะถ้ารักษาที่นี่อาการไม่เข้าข่ายโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP)จึงแนะนำให้คนไข้ไปใช้สิทธิที่โรงพยาบาลบางมดซึ่งจะง่ายกว่าและเร็วกว่า สภาพคนไข้ตอนนั้นพูดคุยรู้เรื่อง เนื่องจากการเรียกรถพยาบาลจากโรงพยาบาลตามสิทธิอาจเสียเวลาเป็นชั่วโมง ซึ่งโรงพยาบาลบางมดไม่ไกลและน่าจะรวดเร็วกว่า

"ที่มีการให้ข่าวว่าตายบนแท็กซี่ ช่วยเช็คดูดีๆว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เพราะคนไข้ยังสามารถพูดคุยได้"นพ.พีระกล่าว

ต่อมา นายอัจฉริยะ และญาตผู้เสียชีวิตได้เรียกร้องให้นำภาพจากกล้องวงปิดในวันเกิดเหตุมาเปิด แต่ นพ.พีระไม่ยอมโดยยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูกล้องวงจรปิดแล้วและที่นี่ไม่ใช่ศาล

จากนั้นลูกผู้เสียชีวิตได้เผยถึงเหตุการณ์คืนเกิดเหตุว่า "แม่เข้าห้องฉุกเฉิน หนูรออยู่หน้าห้อง พี่เขาบอกกับหนูว่าบัตรทองแม่อยู่บางมด พี่เขาจึงให้หนูไปนั่งแท็กซี่ ให้เงินมา 40 บาท เขาเอาแม่ขึ้นเตียงและเข็นแม่ลงมา และเรียกแท็กซี่ไว้ เขาถามแม่ว่าเดินไหวไหม แม่ส่ายหัว เขาก็ให้แม่ลงมา แต่แม่เข่าทรุดนั่งลงไป เขาก็อุ้มขึ้นแท็กซี่ไป"

จากนั้นได้มีการปะทะคารมอย่างดุเดือดระหว่าง นพ.พีระ กับ ญาติผู้ป่วยและ นายอัจฉริยะ เนื่องจากทางนพ.พีระให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับ บุตรของผู้ตาย และมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ก่อนที่ นพ.พีระ ได้กล่าวว่าจะฟ้งอร้องที่ถูกกล่าวหา ขณะที่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า "เดี๋ยวจะถอนใบอนุญาตมึ...ด้วย"

ด้าน พญ.วัลลภา ไชยมโนวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระราม 2 กล่าวว่า ในนามของโรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ในโรงพยาบาลไม่มีเหตุผลปฏิเสธคนไข้เพราะคนไข้มีสิทธิรักษาได้ทุกโรค เราไม่ได้ไล่คนไข้ไป คนไข้แจ้งว่าจะไปใช้สิทธิที่โรงพยาบาลลางมด ที่พยาบาลให้เงินไป 40 บาท เพราะคนไข้แจ้งว่าไม่มีเงิน มีเงินติดตัวอยู่ 50 บาท พยาบาลจึงให้เงินไปเพิ่มอีก 40 บาทเพราะระยะทางไม่ไกล

"ในวันนั้นได้ปฐมพยาบาลด้วยการล้างแผล ตรวจสอบว่าเป็นรอยตื้น เท่าที่ทราบผู้ตายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในห้องฉุกเฉิน ไม่ได้เสียชีวิตระหว่างทาง"พญ.วัลลภากล่าว