posttoday

ควรให้ลงโทษสถานหนัก!ศาลพิพากษาจำคุกเณรคำพรากผู้เยาว์-อนาจาร16ปี

17 ตุลาคม 2561

ศาลชี้พฤติการณ์"เณรคำ"ร้ายแรงใช้ความเป็นพระภิกษุที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทำผิดกับเด็กนักเรียนม.2จึงควรให้ลงโทษสถานหนัก และให้นับโทษต่อคดีฉ้อโกงประชาชนรวมคุก 36ปี

ศาลชี้พฤติการณ์"เณรคำ"ร้ายแรงใช้ความเป็นพระภิกษุที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทำผิดกับเด็กนักเรียนม.2จึงควรให้ลงโทษสถานหนัก และให้นับโทษต่อคดีฉ้อโกงประชาชนรวมคุก 36ปี

เมื่อวันที่ 17ตุลาคม 2561 ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีเณรคำพราก-ชำเราผู้เยาว์ ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 ยื่นฟ้อง นายวิรพล สุขผล อดีตพระฉายาวิรพล ฉัตติโก หรือเณรคำ อายุ 39 ปี อดีตประธานสงฆ์อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทางการสหรัฐอเมริกาส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาได้เมื่อปี2560เป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดำ อ.2340/2560 ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 40,000 บาท) และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีซึ่งไม่ใช่ภริยาตนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000-40,000 บาท)

กรณีกล่าวหาว่า เมื่อเดือน ม.ค. 2543 - กลางปี 2544 จำเลย ได้พรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จากผู้ปกครองไปข่มขืนกระทำชำเรา เป็นเวลา 2 ปี จนมีบุตร 1 คน อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ระหว่างดำเนินคดีจำเลยได้หลบหนีไปประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาอัยการสูงสุดดำเนินการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทางการไทยได้รับตัว นายวิรพล มาจากประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2560 และอัยการยื่นฟ้องดำเนินคดีในวันที่ 20 ก.ค. 2560 ตามพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมไว้ทันที ทั้งนี้ การพิจารณาคดีชั้นศาล นายวิรพล จำเลย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดและเด็กที่เกิดมาก็ไม่ใช่บุตรของตนเอง โดยนับตั้งแต่ได้รับตัวกลับมาดำเนินคดี นายวิรพลไม่ได้รับการประกันตัว

วันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีผู้ปกครองและเด็กผู้เสียหายช่วงเกิดเหตุปี 2543 อายุ 14 ปีเศษ เบิกความสอดคล้องบันทึกคำให้การถึงรายละเอียด ช่วงเวลาตั้งแต่จำเลยขับรถยนต์มารับผู้เสียหายที่ 2 ไปอนาจารกอด จูบ และข่มขืนกระทำชำเรา หลายครั้ง หลายหน จนกระทั่งผู้เสียหายย้ายไปจังหวัดอื่น เพราะกลัวผู้อื่นจะรู้เรื่อง โดยยังมีพนักงานสอบสวนร่วมเบิกความด้วย ซึ่งพยานไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่ายากที่จะปั้นแต่งให้เรื่องตัวเองและครอบครัวอับอาย และขณะเกิดเหตุจำเลยใช้ความเป็นพระภิกษุที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธา กระทำผิดกับเด็กนักเรียนชั้น ม.2 ทำให้ศาสนามัวหมอง จึงเห็นควรให้ลงโทษสถานหนัก

พิพากษาให้จำคุกจำเลยข้อหาพรากผู้เยาว์ 8 ปี ข้อหาชำเราเด็ก 8 ปี รวมจำคุก 16 ปี และให้นับโทษจำเลยในคดีฉ้อโกงประชาชนที่ศาลอาญาพิพากษาแล้วมารวมด้วยอีก 20 ปี จึงรวมโทษจำคุกทั้งสองคดีได้เป็น 36 ปี