posttoday

มูลค่าเสียหายเยอะ-กลัวหนี!ศาลไม่ให้ประกันคุมปริญญาเข้าคุก

12 ตุลาคม 2561

ศาลอนุญาตฝากขัง “ปริญญา”พี่ชายคนโตวางแผนลวงชาวฟินแลนด์ลงทุนเงินบิตคอยน์กว่า 797 ล. “บูม”หอบโฉนด 4.5 ล้านยื่นประกันพี่ชายแต่สุดท้ายไม่รอดนอนคุกยาว

ศาลอนุญาตฝากขัง “ปริญญา”พี่ชายคนโตวางแผนลวงชาวฟินแลนด์ลงทุนเงินบิตคอยน์กว่า 797 ล. “บูม”หอบโฉนด 4.5 ล้านยื่นประกันพี่ชายแต่สุดท้ายไม่รอดนอนคุกยาว

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 12 ต.ค.61 เวลา 11.00 น. ร.ต.อ.ศุภชัย ชาติมนตรี พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัว “นายปริญญา จารวิจิต” อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาคน จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา 1693/2561 ลงวันที่ 26 ก.ค.61 คดีร่วมกันฟอกเงิน ลงทุนเงินสกุลดิจิทัล (บิตคอยน์) มูลค่ากว่า 797 ล้านบาท ซึ่งเป็นพี่ชายของนายจิรัชพิสิษฐ์หรือบูม ดาราซีรีย์วัยรุ่น มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-23 ต.ค.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ยังต้องรอผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา โดยพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหานี้ด้วย เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง สร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีมาโดยตลอดโดยหลบหนีไปต่างประเทศและถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางจนกระทั่งถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ได้นำตัว “นายปริญญา” ส่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม วันที่ 11 ต.ค. เมื่อเวลา 02.45 น. ที่ผ่านมา

ต่อมา “นายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม” น้องชายของผู้ต้องหา ได้นำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินจำนวน 2 แปลง ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี เนื้อที่รวม 146 ตารางวาเศษ ราคาประเมิน 4.5 ล้านบาทเศษ มายื่นพร้อมคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฝากขังต่อศาล กระทั่งเวลา 16.00 น.เศษ ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องขอประกันตัวของ “นายปริญญา จารวิจิต” โดยศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหามีส่วนร่วมในการเจรจากับผู้เสียหาย ขณะที่ความเสียหายมีจำนวนสูง พนักงานสอบสวนยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ  ประกอบกับคัดค้านการประกัน อีกทั้งผู้ต้องหายังถูกยกเลิกหนังสือเดินทาง เพราะมีพฤติการณ์เดินทางออกนอกราชอาณาจักรบ่อยครั้ง เกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวจะหลบหนี ในชั้นนี้จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง

ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัว “นายปริญญา” ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพในชั้นฝากขังนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 24 มิ.ย.- 30 ธ.ค.60 “นายปริญญา” ผู้ต้องหา ได้ร่วมกับนายจิรัชพิสิษฐ์ (อายุ 27 ปีเศษ น้องชาย ) และ น.ส.สุพิชฌาย์ (อายุ 32 ปี น้องสาว) กลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเป็นพี่น้องกันร่วมกันฉ้อโกง นายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ (Mr. aarni Otava Saarimaa) ชาวฟินแลนด์ ซึ่งประกอบธุรกิจซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล จำนวน 3 ครั้งคือช่วงวันที่ 24 มิ.ย.-19ก.ค.60 ผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันวางแผนทำให้ให้นายอาร์นี หลงเชื่อร่วมลงทุนซื้อหุ้นบริษัทเอ็กซ์เปย์ ซอร์ฟแวร์ จำกัด และ บริษัทเอ็นเอ็กซ์ เชน อินคอร์ปอเรต โดยการโอนเงินดิจิทัล จำนวน 1,250 บิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 92,696,500 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ต้องหา , ระหว่างเดือน ก.ค. –วันที่ 5 ก.ย.60 กลุ่มผู้ต้องหาสมคบกันนำความเท็จหลอกลวงให้นายอาร์นี ร่วมลงทุนซื้อเงินดรากอน คอยน์ โดยโอนเงินดิจิทัล จำนวน 2,958.75948993 บิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 440,007,281.33 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ต้องหา และเมื่อเดือน ส.ค.60 –วันที่ 30 ธ.ค.60กลุ่มผู้ต้องหลอกลวงให้นายอาร์นี ร่วมลงทุนซื้อหุ้นบริษัท ดีเอ็นเอ (2002) จำกัด (มหาชน) จำนวน 345,000,000 หุ้น โดยโอนเงินดิจิทัล จำนวน1355.55701967 เหรียญบิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 264,708,973 บาทให้กับกลุ่มผู้ต้องหา รวมรายการโอนเหรียญบิตคอยน์เข้ากระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ของนายปริญญา ผู้ต้องหากับพวกที่เปิดรองรับไว้ จำนวน 19 ครั้ง คิดเป็นเงินไทยจำนวน 797,408,454.33 บาท จากนั้นกลุ่มผู้รับโอนบิตคอยน์ได้นำเหรียญบิตคอยน์ไปขายผ่านระบบการซื้อขายในอินเตอร์เน็ต แล้วจึงนำเงินที่ได้จากการขายโอนเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดไว้ เหตุเกิดที่ไพน์คอนโด แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม.

จากนั้น ผู้ต้องหา กับน้องชายและน้องสาว ได้สมคบกันฟอกเงิน ด้วยการโอนเงินอันเป็นทรัพย์สินกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2556 และตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 ซึ่งมีการรับโอนไป-มาอีกหลายครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดนั้นด้วยการนำไปซื้อที่ดิน กทม. แขวงลาดยาว เขตจตุจักร 2 แปลง เนื้อที่ 2 งาน 7 ตารางวา ราคา 20 ล้านบาทเมื่อวันที่ 11 ต.ค.60 , ซื้อที่ดินอีก กทม. แขวง-เขตดินแดง อีก 2 แปลง เนื้อที่ 1 งาน 143.5 ตารางวา ราคา 59 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.60 , ซื้อที่ดิน ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี 2 แปลง เนื้อที่ 2 งาน 118.9 ตารางวา ราคา 27,140,000 บาท เมื่อวันที่ 19 ต.ค.60 ,ซื้อที่ดิน กทม. แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร 1 แปลง และ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร 5 แปลง รวมเนื้อที่ 94.5 ตารางวา ราคา 8.5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.60 นอกจากนี้ผู้ต้องหา และนายจิรัชพิสิษฐ์ น้องชาย ยังใช้เงินจำนวน 43,130,000 บาท ทำการซื้อฝาก-ขายฝากที่ดินแขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. เนื้อที่ 3 งาน 80 ตารางวา อีกด้วย รวมมูลค่าทำนิติธรรมที่ดิน 13 แปลงทั้งสิ้น 157,770,000 บาท ซึ่งเป็นการซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นก่อน หรือขณะ หรือหลังกระทำความผิด เหตุเกิดที่แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม. , แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน , แขวงจอมพล เขตจตุจักร , แขวง-เขตห้วยขวาง กทม. , จ.นนทบุรี , จ.ชลบุรี

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นเข้าเมือง (ตม.) ได้จับกุมตัว “นายปริญญา” ผู้ต้องหาได้ที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 10 ต.ค.61 แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีฐาน ร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18) , มาตรา 5 (1)(2)(3) มาตรา 9 และมาตรา 60 ประกอบกฎหมายอาญา และฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะที่ “ศาล” พิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้

อย่างไรก็ดีสำหรับกรณีฉ้อโกงชาวฟินแลนด์ ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ผ่านสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์บิตคอยน์ กว่า 700 ล้านบาท และสมคบกันฟอกเงินที่ได้จากการกระทำผิดนั้น ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ยื่นฝากขังผู้ร่วมกระทำผิดที่เป็นพี่น้องตระกูลจารวิจิตแล้ว 2 คน คือ นายจิรัชพิสิษฐ์หรือบูม อายุ 27 ปีเศษ ดาราซีรีย์วัยรุ่น ในวันที่ 10 ส.ค.61 และน.ส.สุพิชฌาย์ อายุ 32 ปี วันที่ 15 ส.ค.61 ภายหลังเข้ามอบตัว ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินที่นายปริญญา พี่ชายของทั้งสองได้ฉ้อโกงนักธุรกิจชาวฟินแลนด์ โอนผ่านบัญชีไปให้ทั้งสองทำการจดทะเบียนซื้อฝาก-ขายที่ดินรวม 14 แปลง มูลค่ากว่า 176,220,000 บาทา โดย “นายจิรัชพิสิษฐ์หรือบูม” และ “น.ส.สุพิชฌาย์” ได้ประกันตัวไปในชั้นฝากขังคนละ 2 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล