posttoday

ปปง.อายัดทรัพย์สิน“บูม จิรัชพิสิษฐ์-พวก" 210ล้านดคีโกงบิทคอยน์

09 ตุลาคม 2561

ปปง.สั่งอายัดทรัพย์สิน-ที่ดินนักแสดงหนุ่ม “บูม จิรัชพิสิษฐ์” “เฉียด 50 ล้านบาทรวม”พี่ชาย-พี่สาว”และพวกมูลค่ากว่า 210 ล้านบาท คดีฉ้อโกง-ฟอกเงินบิทคอยน์ตุ๋นนักลงทุนต่างชาติ

ปปง.สั่งอายัดทรัพย์สิน-ที่ดินนักแสดงหนุ่ม “บูม จิรัชพิสิษฐ์”  “เฉียด 50 ล้านบาทรวม”พี่ชาย-พี่สาว”และพวกมูลค่ากว่า 210 ล้านบาท คดีฉ้อโกง-ฟอกเงินบิทคอยน์ตุ๋นนักลงทุนต่างชาติ เผยมีผลตั้งแต่ 14 ส.ค.- 11 พ.ย.นี้พร้อมให้เวลาแสดงหลักฐานเพิกถอนคำสั่งภายใน 30 วัน


เมื่อวันที่  9 ต.ค. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เผยแพร่คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.174/ 2561 โดยมีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับข้องกับการกระทำความผิด กรณีนายปริญญา จารวิจิต พี่ชายนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ “บูม”  นักแสดงจากซีรี่ย์ความรักครั้งสุดท้าย กับพวก มีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระและฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน วางแผนและสมคบกันหลอกลวง โดยชักชวนให้ นายอาร์นี่ โอทาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ (Mr. Aarni Otava Saarimaa) ร่วมลงทุนซื้อหุ้นกับบริษัท  Expay Software จำกัด และ Nx Chain Inc ลงทุนประกอบธุรกิจซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลในชื่อดราก้อน คอยน์  (Dragon Coin (DRG)  และหุ้นของบริษัทดีเอสเอ 2002 จำกัด (มหาชน) โดยอ้างว่าเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เป็นเหตุให้นายอาร์นี่หลงเชื่อลงชื่อในสัญญาที่ฝ่ายนายปริญญาจัดทำขึ้น และโอนเหรียญบิตคอยน์ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่กลุ่มนายปริญญาเปิดรองรับไว้รวม 19 ครั้ง คิดเป็นเงินไทย 797 ล้านบาทแต่ต่อมานายอาร์นี่ไม่ได้รับหุ้นครบตามสัญญา และไม่มีการนำเงินไปลงทุนในหุ้นจริง จึงทราบว่าถูกนายปริญญา กับพวกหลอกลวง  โดยจากการตรวจ สอบข้อมูลในบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่รับโอนเงินบิตคอยน์จากนายอาร์นี่ เป็นบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบุคคลต่างๆ ที่ร่วมกันหลอกลวง และมีการขายเหรียญบิตคอยน์ผ่านระบบการซื้อขายในอินเตอร์เน็ต จากนั้นจึงนำเงินที่ได้โอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ธนาคารที่เปิดรองรับไว้ ส่วนเหรียญบิตคอยน์ที่เหลือได้ถูกโอนออกไปยังบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบพบข้อมูลว่ามีการนำเงินไปรับซื้อฝากที่ดินและซื้อที่ดินหลายแปลงในชื่อของนายปริญญาและพวกอันถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน

คำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรมยังระบุอีกว่าจากการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน ปรากฏหลักฐานเป็นที่น่าเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์กระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงินตามมาตรา 4 และ 5 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง หรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานพบว่านายปริญญาและพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดรวม 64 รายการ มูลค่ากว่า  210 ล้านบาท ทั้งนี้ ทรัพย์สินดังกล่าวประกอบด้วยเงินฝากธนาคาร และสิทธิ์เรียกร้องอันเป็นทรัพย์ที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด ซ่อนเร้นได้โดยง่าย รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ประเภทโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียนที่ผู้ครองครองกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิ์ครอบครองสามารถทำนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ครองครองได้
และถ้าไม่มีการออกคำสั่งอายัดทรัพย์ดังกล่าวไว้ ต่อมาหากศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ปปง.อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์ดังกล่าวกลับคืนมาได้ คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินทั้ง 64 รายการ พร้อมดอกผล ไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.- 11 พ.ย. 61

สำหรับทรัพย์สินที่คณะกรรมการธุรกรรมฯมีคำสั่งอายัดประกอบด้วย บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อของนายนายจิรัชพิสิษฐ์ จำนวน 5 บัญชี ซึ่งสามารถประเมินราคาได้ 2 บัญชี มูลค่า 4 ล้านบาท อยู่ระหว่างการประเมินราคาอีก 3 บัญชี และที่ดินเขตจตุจัตรเนื้อที่ 3 งาน 80 ตารางวาที่มีชื่อนายจิรัชพิสิษฐ์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ มูลค่า 43ล้านบาท รวมประมาณ 50 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารและที่ดินในชื่อของนายปริญญา, น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต และชื่อบุคคลอื่น รวม 59 รายการรวมจำนวนเงินทั้งหมด 210 ล้านบาท  ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกยึดทรัพย์หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในทรัพย์ดังกล่าวต้องการขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ ให้ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์ที่ถูกยึดอายัดนั้นไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต่อเลขาธิการ ปปง. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือทราบคำสั่งนี้